posttoday

ฐิตินาถ ณ พัทลุง ทำงานเพื่อตัวเองและแบ่งปันเพื่อคนอื่น

09 ตุลาคม 2555

สาวผิวเข้มตาคมคนนี้หลายๆ คน คงรู้จักเธอดีจากหลายบทบาทที่ผ่านมา ฐิตินาถ ณ พัทลุง

โดย...อณุศรา ทองอุไร

สาวผิวเข้มตาคมคนนี้หลายๆ คน คงรู้จักเธอดีจากหลายบทบาทที่ผ่านมา ฐิตินาถ ณ พัทลุง แต่บทบาทที่โดดเด่นที่สุดก็คงจะเป็นบทบาทของการเป็นนักเขียน เพราะเธอเขียนหนังสือพ็อกเกตบุ๊กขายดียอดขายนับแสนเล่มนั่นคือเข็มทิศชีวิต และกำลังจะออกเล่มที่ 5 เข็มทิศชีวิตมั่งคั่ง กลางเดือนนี้ เหตุเพราะคนส่วนใหญ่มักคิดว่าการเดินทางสายกลาง ฝักใฝ่ธรรมะ จะต้องสละแล้วซึ่งทุกสิ่ง ไม่สะสม ไม่ทำงาน

แต่ในฐานะที่เราเป็นฆราวาสที่ดีนั้น ก็คือทางโลกไม่ให้ช้ำ ทางธรรมไม่ให้เสื่อม ทางโลกและทางธรรมยังทำควบคู่ไปด้วยกันได้ เพราะเรายังต้องดำรงชีพ ต้องดูแลครอบครัว ซึ่งพระพุทธองค์ก็ทรงสอนไว้ว่าคนเราต้องทำงาน ทำอาชีพของตนให้ถูกต้องถ่องแท้ ทำในสิ่งที่ชอบที่ควร เมื่อเหลือแล้วควรแบ่งปันทำบุญ เผื่อแผ่ให้คนที่ด้อยกว่าบ้าง เข็มทิศเล่มที่ 5 ของเธอจึงแนะนำการใช้ชีวิตแบบเดินสายกลางให้เหมาะสมกับอาชีพและฐานะของตน การทำสัมมาอาชีพอย่างเหมาะสม นอกจากนั้นเธอกำลังจะแปลงานเขียนเข็มทิศชีวิต เป็นภาษาอังกฤษ เพื่อไปวางในร้านหนังสือที่ประเทศอังกฤษและร้านหนังสือต่างประเทศในประเทศไทย ที่จะออกปลายปีนี้

ฐิตินาถ ณ พัทลุง ทำงานเพื่อตัวเองและแบ่งปันเพื่อคนอื่น

 

นอกจากนี้ เธอยังทำงานแบบจิตอาสา ด้วยการเป็นผู้ร่วมก่อตั้งสมาพันธ์ไลฟ์โค้ชเข็มทิศ ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร ทุกอย่างให้เปล่าซึ่งเป็นสมาพันธ์ที่มีคนหลายสาขาอาชีพมาร่วมกันทำสิ่งที่ดีๆ กับสังคม เช่น น้ำท่วมปีที่ผ่านมา ทางสมาพันธ์ก็ออกไปช่วยเหลือให้กำลังใจ ด้วยการแนะนำเทคนิควิธีการที่เป็นรูปธรรมในการอยู่ร่วมกับปัญหาที่เขากำลังเผชิญ พลิกมุมมองให้เป็นเรื่องที่ดี ถ้าเจอเรื่องเลวร้ายให้เรียกว่ามันคือประสบการณ์ที่ท้าทาย ไม่ใช่ผู้ประสบภัย เพราะการมองโลกในแง่ดีทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้น ความสุขเป็นพื้นฐานที่ทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น

“หรือการไปให้กำลังใจผู้ต้องขัง ให้เขาอภัยในความผิดพลาดของตัวเอง ให้อภัยสิ่งที่เกิดขึ้น ให้อภัยครอบครัว เพื่อสร้างกำลังใจให้เขาพร้อมเริ่มต้นใหม่ มองโลกที่สดใสขึ้น ซึ่งหากหน่วยงานใดที่ใหญ่ๆ อยากให้เราไปช่วยแบบนี้ เรายินดีไปให้เสริมพลังทางบวกให้ชีวิต” เธอ กล่าวด้วยรอยยิ้ม

ฐิตินาถ บอกว่า คนเราถ้าพื้นฐานจิตใจดี คิดดี คิดบวก ก็มักจะใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น รวมทั้งมีศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ก็จะใช้ชีวิตได้อย่างมีเป้าหมาย มีความมั่นคงทางจิตใจ เมื่อเจออุปสรรคปัญหาใดๆ ก็มักจะผ่านไปได้อย่างแข็งแรงมีกำลังใจที่ดี ซึ่งเป็นเทคนิคที่ทำได้ไม่ยาก ฝรั่งเปิดหลักสูตรแบบนี้มา 20-30 ปีแล้ว หลักสูตรวิทยาศาสตร์ทางจิตแนะนำไว้ว่า คนที่จะสุขหรือทุกข์ มีอยู่ 3 ปัจจัยหลักๆ คือ 1.เรากำลังคิดอะไรอยู่ในสมอง (ถ้าคิดดีพลังทางบวกก็จะมาสู่ตัวเราให้เราอยากทำดีๆ ) 2.พูดกับตัวเองอย่างไร (พูดดีก็ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดร้ายก็หน้าบึ้งตึงดูไม่เป็นมิตร) 3.มีท่าทางทางกายอย่างไรก็แสดงออกแบบนั้น สรุปว่าคนเราต้องมีเมตตากับตัวเอง ปลอบประโลมตัวเองด้วยทีท่าวาจาที่ดี เราก็จะดูเป็นมิตรน่าเข้าใกล้ เป็นคนสบายใจน่าคบหา และอย่าลืมมีเมตตาต่อคนอื่นด้วย ทั้งเขาและเราก็จะเป็นคนมีความสุขกับชีวิต

ดังนั้น หากเราอยากให้ชีวิตเราเป็นอย่างไร เราก็ควรออกแบบรูปแบบชีวิตของเราได้ จะให้สุข ให้ทุกข์ อยู่ที่ความคิดและการกระทำของเราเอง