posttoday

โลกใบเหงา ของเขาทั้งสอง

01 ตุลาคม 2555

ในสังคมเรามีคนขี้เหงามากมายเหลือเกิน

โดย...อินทรชัย พาณิชกุล

ในสังคมเรามีคนขี้เหงามากมายเหลือเกิน

เช่นเดียวกับ “เขา” และ “เธอ” ต่างก็เป็นคนขี้เหงา แปลกแยก โดดเดี่ยว และไร้รัก

คนหนึ่งชอบการเดินทาง เสาะแสวงหาสิ่งดีที่สุดในชีวิต อีกคนหลงใหลในการเลี้ยงสัตว์

เมื่อทั้งคู่ได้มาเกี่ยวพันกัน ความสัมพันธ์ที่ก่อเกิดในจิตใจก็กลายเป็นความรักที่ยากจะอธิบาย สุดท้ายต่างเติมเต็มกันและกัน จนทำให้เขาและเธอรู้ว่าการโคจรมาพบกันครั้งนี้ มิใช่เป็นเพียงการได้ทำความเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายเท่านั้น หากแต่ยังได้ทบทวนความรู้สึกของตนเองไปด้วย

ทั้งหมดข้างต้นเป็นเรื่องราวโดยสังเขปของนิยายติสต์ๆ ชื่อว่า “ความรู้สึกช้า” สำนักพิมพ์มีงานบุ๊ก ผลงานของ สุปรีดี จันทะดี

โลกใบเหงา ของเขาทั้งสอง

 

แรงบันดาลใจมาจากการวิถีชีวิตของคนคู่หนึ่ง มีฝัน มีหวัง มีความคิดลึกซึ้ง ทโรแมนติกว่าซับซ้อนต่อเรื่องราวต่างๆ นานาที่ผ่านเข้ามากระทบใจ ท่ามกลางเมืองใหญ่อันแสนวุ่นวาย แต่ยินดีที่จะอยู่ในโลกส่วนตัวอันหงอยเหงา เฝ้ามองดูความเป็นไปภายนอกด้วยสายตาระแวดระวังจนกระทั่งค้นพบมวลแห่งความรัก จึงได้เกิดความเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่ขึ้นต่อทัศนคติการมองโลกของพวกเขา

“นิยายเล่มนี้ ตัวละครจะมีอยู่สองตัวหลักๆ คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มผู้รักการเดินทาง เพื่อไขว่คว้าหาความสุข ค้นหาความหมายของชีวิต อีกคนเป็นหญิงสาวที่เคยชื่นชอบสัตว์เลี้ยง แต่ปัจจุบันกลับไม่กล้าจะเลี้ยง เพราะกลัวการสูญเสียเหมือนในอดีตที่ผ่านมา การเดินทางกับการเลี้ยงสัตว์เลี้ยง เป็นนัยสำคัญที่ต้องการจะสื่อให้เห็นว่ามนุษย์เราล้วนแต่ขี้เหงาด้วยกันทั้งนั้น เมื่อคนทั้งสองได้มาเกี่ยวพันกัน มันก็เหมือนกับสิ่งที่พร่องอยู่ในจิตใจของแต่ละฝ่ายได้ถูกกลบลบไป ท้ายที่สุดแล้ว ก็มาคิดได้ว่าสิ่งที่พวกเขาตามหา อาจไม่ใช่ที่ตัวเองต้องการจริงๆ”

ฉาก ตัวละคร เหตุการณ์ทั้งหมดในเรื่อง ล้วนฉายภาพความเป็นจริงในวันนี้ นั่นคือวิถีชีวิตความเป็นไปของผู้คนในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมหานคร มนุษย์เงินเดือน อยู่คอนโดมิเนียม นั่งร้านกาแฟ สัญจรไปบนความรีบเร่งของรถไฟลอยฟ้าและรถราขวักไขว่บนท้องถนน มองดูผู้คนแตกต่างหลากหลาย ท่ามกลางความเงียบเหงา เปล่าเปลี่ยว เดียวดาย สะท้อนให้เห็นความบกพร่องทางด้านจิตใจของคนจำนวนหนึ่งที่มีมากมายในสังคมปัจจุบัน

โลกใบเหงา ของเขาทั้งสอง

 

หนังสือเล่มนี้เป็นนิยายโรแมนติกกึ่งเสียดสีสังคม ไม่มีบทสนทนา มีแต่พรรณนาโวหารที่เน้นความรู้สึกของตัวละครทั้งสอง เปรียบดั่งสองตาเหลียวมองไปรอบกาย แต่ปากกลับคุยอยู่กับตัวเองแต่เพียงผู้เดียว

“จะเรียกว่าเป็นเรื่องแนวโรแมนติกกึ่งเสียดสี หรือเสียดสีกึ่งโรแมนติกก็ได้ โรแมนติกสำหรับผมในที่นี้ก็คือความปรารถนาอยากจะทำตามใจนึก ซึ่งผลสุดท้ายจะสมหวังหรือไม่สมหวังก็ได้ทั้งนั้น แค่มีความสุขที่ได้ทำ ส่วนความรักที่เกิดขึ้นในนิยายเล่มนี้ คือความบกพร่องของจิตใจ เหมือนกับว่าใครๆ ก็อยากจะได้รับสิ่งนี้กลับมาจากบุคคลอื่นอยู่เสมอ”

สุปรีดี จันทะดี เป็นนักเขียนหน้าใหม่ เพิ่งมีผลงานการเขียนแนวสะท้อนวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ซึ่งเต็มไปด้วยความแปลกแยก โดดเดี่ยว ซึมเศร้า เหมาะกับคนขี้เหงา ในเมืองกรุงอันศิวิไลซ์ น่าสนใจติดตามยิ่งนัก

“งานเขียนสำหรับผมถือเป็นงานอดิเรก ผมก็แค่ก้มหน้าก้มตาทำงานของผมไป ทำงานอดิเรกของผมไป ผมเขียนไม่ได้ต้องการพิสูจน์อะไรให้ใครได้เห็น เพียงแต่อยากจะเห็นตัวเองทำงานแบบต่อเนื่องมากกว่า สิ่งที่ผมจะแข่งด้วยไม่ใช่รางวัลไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นตัวเองของเมื่อวานนี้ ถ้าการเขียนหนังสือคือคนที่ผมรัก ผมก็แค่อยากจะรู้ว่าผมจะรักเขาไปจนวันตายได้ไหม โดยไม่ต้องไปหวังรางวัลว่าเขาจะบอกรักผมกลับมา” นักเขียนขี้เหงากล่าว

อ่านยาก เข้าใจยาก แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงเนื้อใน ก็จะรู้ซึ้งได้ทันทีว่าโลกของคนขี้เหงาแท้จริงเป็นเช่นไร