posttoday

การท้าทายอันเงียบเชียบ...แต่"จี๊ด" (ตอนจบ)

02 กันยายน 2555

ในสัปดาห์ที่แล้ว เราได้พูดถึงอารมณ์ด้านลบหรืออารมณ์จี๊ด ทั้งในแง่ที่เป็นปรากฏการณ์และเหตุปัจจัยที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การค้นหาความทรงจำที่ฝังใจ ฉันได้ทิ้งท้ายด้วยการชักชวนให้คุณตั้งคำถามในการเลือกที่จะปฏิเสธหรือยอมรับเงาสะท้อนของความทรงจำนั้น มีความเป็นไปได้มากว่าการค้นพบนี้จะทำให้เราเจ็บปวด ยิ่งไปกว่านั้นคือ การยอมรับเงาสะท้อนที่บิดเบี้ยวนั้นว่าเป็นส่วนหนึ่งของเรา แต่ในความเจ็บปวดนั้นก็มีความเป็นไปได้มากว่าเราจะได้ค้นพบแง่งามของชีวิต

ในสัปดาห์ที่แล้ว เราได้พูดถึงอารมณ์ด้านลบหรืออารมณ์จี๊ด ทั้งในแง่ที่เป็นปรากฏการณ์และเหตุปัจจัยที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การค้นหาความทรงจำที่ฝังใจ ฉันได้ทิ้งท้ายด้วยการชักชวนให้คุณตั้งคำถามในการเลือกที่จะปฏิเสธหรือยอมรับเงาสะท้อนของความทรงจำนั้น มีความเป็นไปได้มากว่าการค้นพบนี้จะทำให้เราเจ็บปวด ยิ่งไปกว่านั้นคือ การยอมรับเงาสะท้อนที่บิดเบี้ยวนั้นว่าเป็นส่วนหนึ่งของเรา แต่ในความเจ็บปวดนั้นก็มีความเป็นไปได้มากว่าเราจะได้ค้นพบแง่งามของชีวิต

คุณไม่คิดว่ามันเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าหรอกหรือ?

กับคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบที่ว่า เมื่อเราค้นหารากของสิ่งที่ทำให้เราจี๊ดเจอแล้ว จะขุดมันขึ้นมาได้อย่างไร?

เราต่างมีดินแดนที่ได้ฝังรากของอารมณ์เชิงลบเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นความคับแค้น เกลียดชัง รู้สึกผิด หรือน้อยใจ เมื่อเวลาผ่านไป ยิ่งเนิ่นนานเท่าไร รากที่เราฝังไว้ก็จะยิ่งหยั่งลึกลงไปเท่านั้น สิ่งที่ปรากฏให้เราเห็นมีเพียงต้นไม้หงิกงอ ยางสีดำที่มีพิษ พร้อมที่จะรินหลั่งออกมากัดกินความสงบสุขของชีวิตได้ทุกเมื่อ และยิ่งเราสั่งสมอารมณ์ลบเท่าใด ต้นไม้ก็ยิ่งได้รับการรดน้ำเติมปุ๋ยให้เติบโตขึ้นไปเท่านั้น

รากที่อยู่ใต้ดินนั้น ยากที่เราจะมองเห็นได้ สิ่งที่เรามองเห็นมีเพียงลำต้นและกิ่งใบที่โผล่พ้นผิวดินขึ้นมาในรูปของความโกรธ หงุดหงิด หรือรำคาญ บางครั้งก็หาสาเหตุได้ แต่บางครั้งก็ไม่

คราวที่แล้วฉันได้ชวนคุณมาสำรวจต้นไม้ในหัวใจว่ามีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร และตอนนี้ฉันก็กำลังจะชวนคุณมาขุดค้นลึกลงไปถึงรากเหง้าของต้นไม้ต้นนี้ ในช่วงเวลาอันสั้น ฉันไม่คาดหวังให้เราสามารถขุดรากถอนโคนอารมณ์ลบได้หรอก เพียงหวังถากหน้าดินให้ต้นไม้ได้โยกคลอนบ้างเท่านั้น

เราจะเริ่มต้นด้วยคำตอบของคำถามจากคราวที่แล้วที่ว่า อะไรที่ทำให้...สำคัญถึงขนาดนี้? ซึ่งคำตอบที่ได้จะเป็นส่วนหนึ่งของคุณค่าหรือค่านิยมที่เรายึดถือ และคุณค่านี้เองที่ทำให้ภาพต้นไม้หงิกงอในใจของเราพร่าเลือนไป อย่างเช่น การที่ฉันคิดว่าคนที่ตรงต่อเวลาเป็นคนที่เอาใจใส่และให้ความสำคัญกับฉัน แต่ถ้าใครมาช้าหรือผิดนัดก็จะรู้สึกหงุดหงิดโกรธขึ้ง ด้วยคิดว่าเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับการนัดหมาย ซึ่งแท้จริงแล้วการนัดหมายนั้นคือตัวตนของฉัน

ถ้าคุณยังนึกสนุก (แต่คราวนี้ต้องบวกความกล้าเข้าไปด้วย) ลองหยิบกระดาษขึ้นมาเขียนคำตอบของคำถามข้างบน จากนั้นก็พิจารณาต่อว่า มีอะไรที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคำตอบนี้หรือไม่

หมุดหมายสำคัญในการที่จะกลับไปสืบค้นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังอารมณ์จี๊ดหรือคุณค่าของเรา คือ ช่วงชีวิตในวัยเด็ก ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับคนในครอบครัวหรือคนที่เข้ามามีอิทธิพลเชิงลบในชีวิตของเรา แล้วเราก็ได้เก็บกดอารมณ์ความรู้สึกนั้นไว้ภายในอย่างแน่นหนา ซึ่งหารู้ไม่ว่าจิตใจของเราได้เล่นกลดัดแปลงสิ่งที่เราเก็บกดให้ปรากฏออกมาในลักษณาการต่างๆ โดยที่เราอาจจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ได้

การท้าทายอันเงียบเชียบ...แต่"จี๊ด" (ตอนจบ)

 

การกลับไปตามหาเหตุปัจจัยที่ทำให้เรายึดมั่นในคุณค่าดังกล่าวไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก ความเจ็บปวดในวัยเยาว์ที่กลบฝังไว้อย่างมิดเม้นจนแทบจะลืมเลือนไปแล้ว กลับมาเต้นเร้าอยู่ในหัวใจอีกครั้ง ในรูปแบบของการผลักความผิดออกนอกตัว แล้วสร้างความชอบธรรมในการที่จะโกรธหรือตำหนิผู้อื่น เราอาจรู้สึกมั่นคงกับสภาวะเช่นนี้ แต่ลึกๆ แล้วไม่มีความสุขเท่าไรนัก

แม้การมองย้อนไปยังจุดเริ่มต้นของความเจ็บปวด จะถือเป็นความเจ็บปวดอย่างหนึ่ง แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือการยอมรับปมรากที่อยู่ในตัวตนของเรา ไม่ว่าจะเป็นความคับแค้น เกลียดชัง รู้สึกผิด น้อยใจ หรืออะไรก็ตามแต่ มีเพียงการเผชิญหน้าเท่านั้นที่จะช่วยให้เราโยกคลอนรากเหง้าของความทุกข์นี้ได้

สังคมยอมรับเพียงแต่คนที่คิดและทำแต่สิ่งที่ดี และผลักไสคนที่มีความรู้สึกร้ายๆ ให้ไปอยู่ชายขอบ การที่ใครสักคนยอมรับว่ามีความคับแค้นหรือเกลียดชังในหัวใจนั้น มักถูกมองว่าเป็นคนที่เลวร้าย ด้วยความที่เราปรารถนาการยอมรับจากคนในสังคม เราจึงมีความสามารถในการเก็บกดและอำพรางอารมณ์เชิงลบอย่างแนบเนียน เมื่อมันปะทุขึ้นมาก็ยากที่จะกลับไปหาต้นสายปลายเหตุว่ามาจากที่ใด มิหนำซ้ำ การยอมรับยิ่งเป็นไปได้ยาก ด้วยเหตุนี้เอง ความกล้าจึงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น

คุณกล้าพอที่จะมองกลับไปยังหัวใจที่แหว่งวิ่นของเด็กน้อยที่นอนคุดคู้ร้องไห้ในคืนที่มืดมิดหรือไม่ คุณกล้ามองกลับไปยังฝ่ามือหยาบกร้านที่ทำร้ายคนที่คุณรักหรือไม่ คุณกล้าสบตากับความร้าวรานในดวงตาของเด็กน้อยหรือไม่ คุณกล้าสบตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังของตัวเองได้หรือไม่ ไม่ว่าคุณจะมีปมอะไรในชีวิต คุณกล้าที่จะสบตาและยอมรับการมีอยู่ของภาพนั้นหรือไม่

การยอมรับ (แม้ด้วยหัวใจที่ร้าวราน) เป็นกำลังสำคัญในการที่จะขุดโค่นต้นไม้แห่งความทุกข์ที่หยั่งรากเกาะยึดหัวใจของเรา ในขณะเดียวกันก็เป็นการบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความรักและเข้าใจ เมื่อเราหมั่นพิจารณาปมรากของเราอย่างลึกซึ้ง ต้นไม้แห่งความรักและเข้าใจก็จะเจริญเติบโตขึ้น แต่การยอมรับที่เกิดขึ้นภายในยังไม่ถือว่าสมบูรณ์นัก สิ่งที่สำคัญก็คือ เราได้แปรเปลี่ยนความรู้สึกนึกคิดนั้นมาสู่การกระทำอย่างสอดคล้องต้องกัน

การเริ่มต้นลงมือที่ดีและง่ายที่สุด คือ การเขียนความรู้สึกที่มีทั้งหมดลงไปในกระดาษ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ คำพูด ท่าที บุคคล หรือความรู้สึก ที่เรารู้สึกติดค้าง เจ็บปวด กระดาษคือผู้รับฟังที่ดี มีพื้นที่มากมายสำหรับรองรับความรู้สึกหรือแม้แต่น้ำตาของเรา

การเริ่มต้นที่ดีและง่ายพอๆ กับการเขียนคือการพูด หากคุณมีกัลยาณมิตรแม้เพียงแค่คนเดียวก็ถือว่าคุณเป็นคนที่โชคดีมาก เพราะกัลยาณมิตรมีส่วนช่วยในการแปรเปลี่ยนความทุกข์ในใจของเราให้เป็นความสุขได้ การมีคนรับฟังเราระบายความรู้สึกด้านลบด้วยความรักและเข้าใจนั้น แม้ไม่มีคำปลอบประโลมก็สามารถทำให้รู้สึกดีและมีกำลังใจในการที่จะเผชิญกับช่วงเวลาที่เจ็บปวดได้

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดในการที่จะขุดรากถอนโคนอารมณ์เชิงลบในใจเรานั้น คือ สติ ในยามที่เรากำลังจะอ่อนแรงจากการเผชิญหน้ากับความโกรธ เกลียด ขอให้กลับมายังฐานที่มั่น คือร่างกายของเรา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ผ่อนลมหายใจออกยาวๆ ลมหายใจนี้จะนำพาเราไปสู่การรู้สึกตัว และความรู้สึกตัวจะเตือนให้เราวางใจ เป็นการวางใจให้ยอมรับสภาวะที่เกิดขึ้นอย่างอ่อนโยน

การเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจของเรา ส่งผลต่อท่าทีและปฏิกิริยาที่เรามีต่อเหตุการณ์หรือผู้คนในทางที่ดีขึ้น และแน่นอนว่าผลสะท้อนกลับย่อมเป็นไปในทางที่ดีขึ้นเช่นเดียวกัน

ตั้งแต่แรกเริ่ม เราพูดถึงการเปลี่ยนแปลงภายในตัวของเราเอง แต่ผลที่เกิดขึ้นคือการเปลี่ยนแปลงที่ต่อเนื่องกันไป การเปลี่ยนแปลงและส่งต่อซึ่งกันและกันนี้ คือแง่งามอันน่ามหัศจรรย์ของชีวิต แต่จะงดงามและมหัศจรรย์อย่างไรนั้น ฉันตอบคุณไม่ได้หรอก คุณต้องสัมผัสด้วยตัวเอง

ว่าแต่ว่า คุณกล้าพอไหม?