posttoday

ทิเบตในวันนี้

03 กรกฎาคม 2554

“ทิเบตเป็นดินแดนที่กว้างใหญ่ แต่มีผู้คนอาศัยอยู่อย่างเบาบาง” คงเป็นคำจำกัดความของดินแดนที่ได้รับการขนานนามว่า “หลังคาโลก” ที่ติดอยู่ในความทรงจำของชาวจีนในอดีต

“ทิเบตเป็นดินแดนที่กว้างใหญ่ แต่มีผู้คนอาศัยอยู่อย่างเบาบาง” คงเป็นคำจำกัดความของดินแดนที่ได้รับการขนานนามว่า “หลังคาโลก” ที่ติดอยู่ในความทรงจำของชาวจีนในอดีต

คำกล่าวนี้อาจเป็นผลจากการตั้งอยู่ในดินแดนอันไกลโพ้นทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศที่เงินทุนช่วยเหลือจากภาครัฐยังเข้าไปไม่ถึง แต่หากมีใครเอ่ยถึงทิเบตในวันนี้ด้วยคำกล่าวในทำนองเดียวกัน ก็คงเป็นเหตุจากที่รู้จักดินแดนแห่งนี้แต่เพียงในนาม และยังไม่เคยได้สัมผัสกับความเป็นทิเบตอย่างแท้จริง เพราะทุกวันนี้นอกจากความงดงามในทางทัศนียภาพทางธรรมชาติจะเป็นที่กล่าวขานแล้ว ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจ ยังส่งผลให้ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวทิเบตแตกต่างจากในอดีตอย่างน่าอัศจรรย์ใจ

เหตุที่กล่าวว่าสภาพสังคมของทิเบตในทุกๆ ด้านเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นนั้น เป็นผลจากการเปรียบเทียบกับสภาพสังคมของชาวทิเบตก่อนที่รัฐบาลจีนจะเข้ามาดูแลอย่างใกล้ชิดนั่นเอง ก่อนหน้านี้ ระบบสังคมในทิเบตมีความล้าหลังมาก ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างแร้นแค้น ประกอบกับสังคมแบบแรงงานทาสในระบบเกษตรกรรมที่ถือว่าเลวร้ายกว่าสังคมยุโรปในยุคกลางเสียอีก กล่าวคือ ผู้กุมชะตาชีวิตของชาวทิเบตอย่างกลุ่มเจ้าของที่ดิน พระและราชนิกุลที่มีไม่ถึงร้อยละ 5 กลับเป็นผู้ครอบครองกรรมสิทธิ์ในที่นา ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ ป่าไม้ ฯลฯ ขณะที่ประชากรที่เหลือไม่มีที่ดินทำกินหรือทรัพยากรใดๆ ในการประกอบอาชีพ เพราะอยู่ในฐานะแรงงานทาส ไม่มีอิสระที่จะกระทำการใดๆ ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การกดขี่ของกลุ่มนายทุน เรียกง่ายๆ ว่า อยู่กันแบบตายทั้งเป็น

ทิเบตในวันนี้

เราลองมาฟังเรื่องราวของคุณยายวัย 110 ปี ที่ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมแบบนี้ดูว่า ทิเบตเมื่อวันวานมีความล้าหลังสักเพียงใด อวี้เจิน หญิงชราชาวทิเบต 1 ใน 116 ผู้ที่มีอายุมากกว่า 100 ปี บอกเล่าประสบการณ์ชีวิตของเธอให้ฟังว่า “ตั้งแต่เกิดมา เธอยังไม่เคยจับปากกาแม้แต่ครั้งเดียว สิ่งเดียวที่อยู่คู่กับมือเธอมาตลอดชั่วชีวิตก็คือ ‘จอบ’ รู้เพียงแต่ว่าเวลาใดต้องทำนา เวลาใดต้องเก็บเกี่ยว” สำหรับชาวเมืองอย่างเราๆ ฟังแล้วอาจไม่เกิดความรู้สึกร่วมเท่าใดนัก เพราะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่เต็มไปด้วยความเจริญด้านต่างๆ จนไม่เห็นค่าของสิ่งที่ตนมีอยู่

แน่นอนว่า การใช้ชีวิตอยู่บนดินแดนที่ตั้งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลมากกว่า 4,000 เมตร ภายใต้สภาวะอากาศที่ออกซิเจนไม่เพียงพอต่อการหายใจ ย่อมส่งผลกระทบต่อสภาพร่างกายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ความที่ชาวทิเบต โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงวัยคุ้นเคยกับสภาพอากาศแบบที่ราบสูง มักจะมีกิจกรรมที่ต้องออกแรง และดำเนินชีวิตอย่างมีระเบียบวินัย ถึงแม้จะผ่านประสบการณ์ชีวิตที่แสนโหดร้ายมาอย่างโชกโชน แต่ก็เป็นกลุ่มคนที่มองโลกในแง่ดี รักษาสภาพจิตใจให้อยู่ในความเบิกบานอยู่เสมอ คนกลุ่มนี้จึงร่วมกันสรรค์สร้างสถิติจำนวนผู้มีอายุเกิน 100 ปี ได้สำเร็จ ส่งผลให้ทิเบตก้าวสู่การเป็นเขตปกครองที่มีจำนวนผู้มีอายุเกิน 100 ปี มากในลำดับต้นๆ ของประเทศ

ความเป็นผู้มีอายุยืนถือเป็นปรารถนาร่วมกันของมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม ไม่เว้นแม้แต่ชาวทิเบตที่อาศัยอยู่ภายใต้สภาวะอากาศที่เลวร้าย พวกเขามีความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้มีอายุยืน ดังเห็นได้จากเพลงพื้นเมืองที่มักมีคำอวยพรให้อายุมั่นขวัญยืนที่มักร้องกันในช่วงงานรื่นเริง หรือจะเป็น “ชื่อเหยิน” คำทักทายที่คุ้นหูในหมู่ชาวทิเบต ซึ่งมีความหมายว่า “ขอให้อายุมั่นขวัญยืน” ก็เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงปรารถนาดังกล่าวเช่นกัน เราจึงเห็นชาวทิเบตที่มีชื่อเรียกนี้อยู่เป็นจำนวนมาก

ทิเบตในวันนี้

ก่อนที่จะอยู่ในการปกครองของรัฐบาลจีน ทางหลวงแม้แต่เส้นเดียวก็ไม่ตัดผ่าน การไปมาหาสู่ทางการค้าระหว่างชาวทิเบตกับบุคคลภายนอกอาศัยแรงงานสัตว์และการแบกสัมภาระด้วยแรงงานมนุษย์ล้วนๆ ยกตัวอย่างที่เห็นภาพอย่างการเดินทางด้วยเท้าจากเมืองลาซาไปยังเมืองซีหนิง มณฑลชิงไห่หรือเมืองหย่าอาน มณฑลเสฉวนนั้น กินเวลายาวนานแรมปี แตกต่างจากถนนหนทางในปัจจุบันที่มีการสร้างถนนหลวงยาว 2.4 หมื่นกิโลเมตร มีเส้นทางการบินกว่า 14 เส้นทาง ที่สำคัญ หลังจากที่มีการสร้างเส้นทางรถไฟสายชิงจั้ง (ชิงไห่ทิเบต) แล้วเสร็จในปี ค.ศ. 2007 เศรษฐกิจและสังคมของทิเบตก็เจริญก้าวหน้าอย่างเห็นได้ชัด ประชากรทิเบตมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ถือเป็นความสำเร็จที่มีความหมายอย่างมากต่อการกระตุ้นให้เกิดความสมัครสมานสามัคคีในหมู่ชนชาติกลุ่มต่างๆ ของจีน

นับแต่มีการปฏิรูปทางเศรษฐกิจและสังคมในปี ค.ศ. 1978 ดัชนีทางเศรษฐกิจของทิเบตก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ความเจริญก้าวหน้าเริ่มกระจายจากตัวเมืองเข้าสู่ชนบท เกษตรกรที่อาศัยอยู่ในดินแดนที่ห่างไกล มีโอกาสได้อาศัยอยู่อย่างเป็นหลักแหล่งในสิ่งปลูกสร้างที่มีความทันสมัยกว่ารุ่นบรรพบุรุษ ส่งผลดีต่อการส่งเสริมบุตรหลานให้เข้ารับการศึกษา ผู้สูงวัยไม่ต้องเร่ร่อนไปตั้งกระโจมตามที่ต่างๆ นโยบายเอื้อประโยชน์ต่อชาวทิเบตยังความสะดวกสบายและความสุขไปสู่ชาวทิเบตจนสามารถ “ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในแบบที่คาดไม่ถึง”

รัฐบาลเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษา จึงได้กำหนดให้ชาวทิเบตโดยทั่วไปต้องมีการศึกษาขั้นต่ำในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 และยังมีสวัสดิการในการดูแลเรื่องการกินการอยู่และค่าใช้จ่ายพื้นฐานในการเรียนอีกด้วย แถมเงินค่าใช้จ่ายต่อหัวจำนวน 2,000 หยวน ให้แก่ลูกหลานเกษตรกรเหล่านี้ แม้จะเป็นนโยบายที่ต้องใช้เงินทุนจำนวนมหาศาล แต่ด้วยความคิดที่ว่า “แม้คนรุ่นก่อนจะใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ก็ไม่ควรให้ลูกหลานตกอยู่ในสภาพเช่นเดียวกัน” หากต้องการให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนอยู่คู่สังคมไปตราบนานเท่านาน ต้องให้ความสำคัญไปที่การศึกษาของคนรุ่นใหม่ บ่มเพาะคนดีเพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาชาติในวันข้างหน้า

การเปลี่ยนแปลงของระบบสังคมพัฒนา การภาคการผลิตและการแพทย์ที่เจริญก้าวหน้าล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประชากรชาวทิเบตเพิ่มขึ้นจากในอดีตหลายเท่าตัว หากพิจารณาจากอายุขัยเฉลี่ย สัดส่วนของผู้ไม่รู้หนังสือ รายได้เฉลี่ยต่อหัว ฯลฯ ล้วนอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจเป็นอย่างมากสำหรับดินแดนที่เคยตกอยู่ในความมืดมนแห่งนี้ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับชาวทิเบต จึงเหมาะกับคำกล่าวที่ว่า “พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ”

อย่างไรก็ดี ถึงแม้รัฐบาลจะระดมความช่วยเหลือด้านต่างๆ แก่ทิเบต แต่ในฐานะที่เป็นดินแดนที่อาศัยของชนเผ่ากลุ่มน้อย ย่อมเกิดความขัดแย้งทางความคิดและมีปฏิกิริยาต่อต้านรัฐบาลกลาง จนเกิดเหตุจลาจลอยู่เป็นระยะ แต่ถึงกระนั้น หากรัฐบาลกลางไม่เหลียวแลและไม่ให้ความสำคัญ ความเจริญก้าวหน้าในวันนี้คงเป็นรูปเป็นร่างเสียไม่ได้ การคลี่คลายความขัดแย้งในหมู่ชนต่างเผ่าจึงถือเป็นภารกิจสำคัญในการหาแนวทางลดแรงเสียดทานจากการต่อต้านของคนกลุ่มน้อย

ทิเบตในวันนี้

เรื่องที่น่ายินดีก็คือ ในขณะที่เศรษฐกิจของทิเบตกำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็วนั้น วัฒนธรรม ดั้งเดิมของชนเผ่ากลุ่มนี้ก็ยังคงหยั่งรากลึกอยู่ในใจของชาวทิเบตอย่างไม่มีวันเสื่อมคลาย

และนี่กระมังที่เรียกว่าเป็น “เสน่ห์แห่งทิเบต” ที่ดึงดูดให้ผู้คนแวะเวียนมาเยือนอย่างไม่ขาดสาย 

 

ข่าวล่าสุด

จากดราม่า ‘น้องหมากินข้าวร่วมโต๊ะในร้าน’ สู่การส่องกฎหมาย Pet Friendly ของ ‘เกาหลีใต้’