ทนเจ็บปวดเพื่อเกิดใหม่
มีนิยายปรัมปราเล่าสืบต่อกันมาว่า นกเหยี่ยวดำ หรือ “โซลแก” เป็น นกที่มี 2 ชีวิต “โซลแก”
มีนิยายปรัมปราเล่าสืบต่อกันมาว่า นกเหยี่ยวดำ หรือ “โซลแก” เป็น นกที่มี 2 ชีวิต “โซลแก”
โดย เพียงออ วิไลย
เป็นเหยี่ยวขนาดกลางอยู่ในตระกูล Accipitridae ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับนกอินทรี นกเหล่านี้จะล่าสัตว์อื่นเป็นอาหารจึงเรียกว่า Birds of Prey “โซลแก” ส่วนมากจะอาศัยอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกจรดทวีปแอฟริกาเพราะมีอากาศร้อนเหมาะแก่การอาศัย แต่ในช่วงฤดูหนาวจะพบเห็นพวกมันมากขึ้น เพราะพรรคพวกที่อาศัยอยู่ในซีกโลกเหนือบางส่วนจะอพยพลงมาสมทบกับทางใต้ โดยปกติ มันจะใช้เวลาส่วนใหญ่บินร่อนกลางแดดจ้าเพื่อสอดส่ายสายตาหาอาหาร พร้อมที่จะโฉบเหยื่อด้วยกรงเล็บเท้าที่แข็งแรง
เรื่องเล่า มีอยู่ว่า...“โซลแก” แท้จริงแล้วมีอายุยืนถึง 70 ปีแน่ะ แต่เมื่อมันอายุมากขึ้นเรื่อยๆ จนใกล้ 40 ปี จะงอยปากแข็งแกร่งที่เคยใช้กระชากอวัยวะเหยื่อจะกลายเป็นท่อนกระดูกอ่อนปวกเปียก กรงเล็บเท้าที่เคยแหลมคมกลับทู่สิ้นดี ขนปีกเล่า ก็ห่อลู่รูดลงมาถึงกลางอก คล้ายชายชราฝรั่งที่ขนหน้าอกลงไปกองอยู่ที่ท้อง “โซลแก” จึงต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง “จะตายเพราะอดอาหารหรือจะทำ Rebirth” กระบวนการเกิดใหม่ให้กลับมากระชุ่มกระชวยอีกครั้งจึงเกิดขึ้น มันจะบินหลีกหนีไปสู่หน้าผาสูงที่ไม่มีใครจะพบเห็นได้ เพื่อเข้าคอร์สคืนความหนุ่มสาว 150 วัน (เรื่องนี้ดูเหมือนจะคุ้นๆ ว่าคล้ายเรื่องเล่าของฝรั่ง แต่จะมุ่งหน้าเล่าต่อไปค่ะ)
เมื่อพบสถานที่เร้นลับก็จะยืนเจ่าทำใจนิดนึง แล้วก็เริ่ม ผ่าตัดตัวเอง โดยมิต้องอาศัยหมอศัลยกรรมจากกรุงโซล มันจะเอาจะงอยปากที่หมดอายุแล้วกระแทกกับก้อนหินจนหลุดร่วง กลายเป็นนกไร้ปาก เมื่อผ่านพ้นไป 50 ราตรี ก็จะถอดกรงเล็บตนเองทีละข้าง จิกขนปีกตัวเองที่หร็อมแหร็มเป็นสังกะตังออก ทั้งหมดนี้ ช่างเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสนัก เลือดแดงฉานสาดกระเซ็นยิ่งกว่าการผ่าตัดเสริมความงามครั้งไหนๆ ครั้นครบ 150 ทิวา จะงอยปาก กรงเล็บ ขนปีกที่งอกใหม่ทั้งเซต ก็เข้าที่เข้าทางพร้อมจะโผบินออกไปจากเซฟเฮาส์ เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 30 ปี
ที่เล่ามานี่เป็นเพราะ เกาหลีมักมีเรื่องราวต่างๆ ยกขึ้นเป็นอุทาหรณ์ เรื่องนี้อาจจะไม่จริง เพราะนักวิชาการต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่ใช่วงจรของชีวิต “โซลแก” เลย ที่จริงมันมีวงจรชีวิต ราว 25-30 ปี และก็ไม่เคยมีใครเห็นมันถอดปาก ถอดเล็บ ถอดปีก แต่ก็ไม่มีคนสามารถยืนยันได้ว่า มันไม่เคยถอดปากเล็บปีก เป็นความเชื่อที่เล่ากันมา
ทว่า เรื่องนี้กินใจมากสำหรับองค์กรที่กำลังจะเข้าสู่วัยชราอย่างบริษัทแม่ในเกาหลีที่ “เชกา” ทำงานอยู่ ให้นำมาจุดประกายความคิด ว่า บริษัทอยู่มา 40 ปีแล้ว ถึงเวลาที่จำต้องอดทนต่อความเจ็บปวด ถอดปาก เล็บ ขน ที่มันใช้ไม่ได้ออกไปเสียบ้างจึงจะสามารถ Rebirth ได้ ช่วงนี้จึงมีการผ่าตัดใหญ่อวัยวะต่างๆ อย่างเลือดสาด ผู้อาวุโสหลายคนลาจากไปเพื่อให้เด็กรุ่นใหม่งอกงามขึ้นมาแทนเพื่อความอยู่รอดขององค์กรและรุ่นน้องหลานเหลนอีกหลายพันชีวิตค่ะ
สูงสุดคืนสู่สามัญ เพื่อที่จะพุ่งทะยานก้าวขึ้นไปอีกครั้งได้สูงและแรงกว่าเดิม ภาษาเกาหลีเค้าเรียกว่า “โดจอน” คือการทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงแบบ “โดจอน” นั้น ต้องเปลี่ยนทันที และมิใช่เพียงแค่ตัวเลข 1 หลัก แต่ต้องเป็น 2 หลักขึ้นไป เช่น การตั้งเป้าให้มียอดขายเพิ่มขึ้น ต้องไม่ใช่เพิ่มขึ้นแค่ 3 หรือ 4 หรือ 5% แต่ต้องเป็น 30 หรือ 40 หรือ 50% ถ้าขืนทำแผนไปแค่ 3 หรือ 4 หรือ 5% ก็จะต้องถูกขว้างกลับมาพร้อมมีดผ่าตัดบินได้แน่ๆ ค่ะ
ย้อนกลับมาดูพระราชวังเกาหลี “สิ่งที่ต้องทำเมื่อไปเกาหลีลำดับที่ 4 “เชกา” นำเสนอไปแล้ว 3 แห่ง ยังขาดอีก 2 คือ (1) ชางคยองกุงสถานที่ประสูติของกษัตริย์ อีซาน (ลีซาน) ปัจจุบันได้รับการบูรณะขึ้นมา กลายเป็นพระราชวังที่สวยงามและค่อนข้างจะสมบูรณ์ตามรูปแบบเดิมอยู่ใจกลางกรุงและเป็นสถานที่ทำพิธีต่างๆ ตามโบราณราชประเพณีที่กำลังรื้อฟื้นขึ้นมา และ (2) คยองฮีกุงแปลว่า พระราชวังแห่งความสงบและปรองดองเป็นพระราชวังสำรองทางตะวันตกที่ราชวงศ์จะย้ายเข้าไป หากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินในวังหลวง ปัจจุบันฟื้นฟูไปได้เพียงแค่ 33% เนื่องจากพื้นที่ถูกบีบจากมหานครโซลที่กำลังขยายตัว พระราชวังทั้งสอง แม้จะไม่อยู่ในเส้นทางท่องเที่ยวหลัก ทว่าหากมีเวลาพอก็คุ้มค่าที่จะเข้าไปเยี่ยมชม มิใช่เพียงแค่ ศิลปสถาปัตยกรรมแบบเกาหลีที่เห็นด้วยตา แต่เป็นความมุ่งมั่นที่จะรักษาและสืบทอดมรดกของชาติแก่คนรุ่นหลังที่ซึมซาบได้ด้วยใจ
หากมองในแง่บวก ความเสียหายย่อยยับในประวัติศาสตร์ของเกาหลี ก็เป็นก้าวหนึ่งของการก้าวกระโดดขึ้นไปสู่ที่ดีกว่า ที่เห็นได้ชัดคือเป็นแรงบันดาลใจให้คนเกาหลีรักและหวงแหน “สมบัติของชาติ” แม้ถูกทำลายย่อยยับไปแล้วด้วยน้ำมือของคนชาติอื่น ก็ยังพยายามสร้างกลับคืน ทำทุกวิถีทาง มิอาจยอมพ่ายแพ้ให้แก่ใครได้ง่ายๆ


