ขุมทรัพย์ใต้พิภพ
ลองคิดดูเล่นๆ ว่า พิพิธภัณฑ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกตั้งอยู่ ณ ที่แห่งใด คำตอบคงทำให้ใครหลายคนนึกไม่ถึง
ลองคิดดูเล่นๆ ว่า พิพิธภัณฑ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกตั้งอยู่ ณ ที่แห่งใด คำตอบคงทำให้ใครหลายคนนึกไม่ถึง
เพราะพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ไม่สามารถจับต้องได้และยังไม่มีการเปิดใช้อย่างเป็นทางการ สถานที่แห่งนี้ก็คือ พิพิธภัณฑ์ใต้พิภพนั่นเอง ฟังดูแล้วเหมือนเป็นดินแดนที่ลี้ลับและห่างไกลจากตัวเราเอามากๆ แต่จริงๆ แล้วก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่เลื่อนลอยสักเท่าใดนัก เพียงแต่มนุษย์เรายังลงมือค้นหาซากทางวัฒนธรรมที่สั่งสมอยู่ภายใต้ผืนพิภพมาเป็นเวลาหลายหมื่นปีได้อย่างไม่เต็มที่ เชื่อหรือไม่ว่าหากนำของล้ำค่าเหล่านี้มากองรวมกัน จะมีปริมาณมากกว่าซากวัตถุโบราณที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่มนุษย์สามารถขุดค้นได้บนพื้นดินเสียอีก ติดอยู่ที่ยังไม่มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมชมได้ตามอัธยาศัยก็เท่านั้นเอง
แน่นอนว่าดินแดนที่มีประวัติศาสตร์การเดินเรือที่รุ่งโรจน์เฉกเช่นประเทศจีน จะต้องมีขุมทรัพย์ใต้พิภพจำนวนมหาศาลที่เกิดจากการอับปางของเรือสินค้านับพันๆ ลำ การสำรวจและค้นหาวัตถุโบราณล้ำค่าที่มีคุณค่าของบรรดานักโบราณคดีทางน้ำ จึงถือเป็นภารกิจอันหนักหน่วงที่จะช่วยค้นหาร่องรอยทางอารยธรรมใต้ผืนพิภพของชนชาติที่ยิ่งใหญ่ชนชาตินี้
ย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์การไปมาหาสู่ทางทะเลระหว่างจีนกับชาติตะวันตก นับแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตกและไปปิดฉากลงในช่วงยุคราชวงศ์ชิงตอนต้น จะปรากฏภาพของขบวนเรือสินค้าที่บรรทุกข้าวของเครื่องใช้ลำแล้วลำเล่าที่เดินทางมาจากมหาสมุทรอินเดียหรือชายฝั่งทะเลที่ไกลกว่านั้น เพื่อนำสินค้ามาจำหน่ายยังอาณาจักรจีนในช่วงฤดูร้อน ซึ่งตรงกับเวลาที่ลมพัดมาทางตะวันออกเฉียงใต้พัดผ่าน ขณะที่ลมตะวันตกเฉียงเหนือมาเยือนในช่วงฤดูหนาว เรือสินค้าเหล่านี้ก็จะขนสินค้าที่ขายดิบขายดีไปทั่วโลกของจีนอย่างเครื่องเคลือบดินเผา ใบชา กลับไปยังภูมิลำเนาของตน เรือที่แล่นจนถึงฝั่งก็นำสินค้าไปจำหน่าย ส่วนเรือที่แล่นไปกลางทางและถูกกระแสลมและคลื่นพัดอย่างรุนแรง จนเป็นเหตุให้อับปางและจมลงสู่ผืนพิภพ จึงเป็นที่มาของการสำรวจโบราณวัตถุใต้พิภพที่เป็นประโยชน์ต่อการสืบค้นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
เมื่อเทียบกับการสำรวจวัตถุโบราณทางบกแล้ว การสำรวจวัตถุโบราณใต้พิภพของชาวจีนถือว่ายังห่างไกลกันอยู่มากโข เพราะมีประวัติความเป็นมาไม่ถึง 30 ปีด้วยซ้ำไป และก็เป็นการถือกำเนิดที่เกิดจากความบังเอิญเสียด้วย กล่าวคือ ในปี ค.ศ. 1984 นักงมของเก่าใต้พิภพมืออาชีพชาวอังกฤษที่ชื่อฮัทช์ได้ลงไปสำรวจเรือที่จมน้ำลำหนึ่ง ภายในเวลา 10 สัปดาห์ เขาสามารถงมเครื่องเคลือบดินเผาจีนได้มากถึง 1.5 แสนชิ้น หลังจากนั้นก็นำไปประมูลขายยังประเทศเนเธอร์แลนด์ คิดเป็นมูลค่า 20 ล้านเหรียญสหรัฐ นักโบราณคดีที่มีชื่อของจีนอย่างเกิ๋งเป่าชังดั้นด้นเตรียมเงินไป 3 หมื่นเหรียญสหรัฐ เพื่อประมูลสมบัติประเทศ แต่ก็กลับบ้านมือเปล่า กระทั่งเดือน เม.ย.ปีถัดมา รายงานเกี่ยวกับการให้ความสำคัญต่อการสำรวจวัตถุโบราณใต้พิภพก็อยู่ในความสนใจของคณะผู้บริหารประเทศ ในที่สุดคณะทำงานเกี่ยวกับโบราณวัตถุใต้พิภพประจำพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติก็ถือกำเนิดขึ้นราวปลายปี ค.ศ. 1987
ก่อนหน้าที่จะมีการฟอร์มคณะทำงานด้านนี้อย่างจริงจัง ก็เคยมีคำปรารภจากศาสตราจารย์ชาวอังกฤษท่านหนึ่งว่า การสำรวจวัตถุโบราณใต้พิภพนั้นเป็นเรื่องที่ต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล ขนาดประเทศที่พัฒนาแล้วบางประเทศยังไม่สนใจจะลงทุนกับเรื่องพรรค์นี้เลย อีกอย่างประเทศจีนก็ยังยากจน (ราว 30 ปีก่อน) มีเหตุผลอะไรที่จะต้องทำการสำรวจใต้พิภพเหมือนกับประเทศพัฒนาแล้ว แต่วิสัยทัศน์ของเกิ๋งเป่าชังก็ทำให้ศาสตราจารย์ท่านนั้นถึงกับอ้าปากค้าง เขาให้เหตุผลว่า ท้องทะเลที่กว้างใหญ่ของจีน เปิดสัมพันธ์ทางการค้าอันยาวนานกับประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นทะเลฝั่งตะวันออกที่มีการเดินเรือไปมาหาสู่กับเกาหลีเหนือและญี่ปุ่น ทางใต้ก็ติดต่อกับประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือจะเป็นทะเลฝั่งตะวันตกที่เชื่อมต่อไปยังอินเดียและยุโรป หากไม่ทำการสำรวจใต้พิภพ แล้วจะปล่อยให้ของล้ำค่าหล่นหายไปจากประวัติศาสตร์จีนได้อย่างไรกัน
นับจากนั้นมา การสำรวจใต้พิภพของชาวจีนก็เดินเครื่องทำงานอย่างไม่มีหยุดหย่อน เริ่มจากการสำรวจผืนน้ำใต้ทะเลของ อ.เหลียนเจียง มณฑลฮกเกี้ยน อ่าวเป่าหลิง อ.เหวินชัง มณฑลไหหลำ เรื่อยไปถึงเกาะฉางเต่า มณฑลชานตง และ อ.ซินฮุ่ย มณฑลกวางตุ้ง เรียกว่าครอบคลุมทะเลขนาดใหญ่ทั้ง 4 แห่ง อันประกอบด้วย ทะเลป๋อไห่ ทะเลเหลือง ทะเลตะวันออกและทะเลใต้ ดูเหมือนว่าการทำงานของคณะสำรวจจะเป็นที่ยอมรับและได้รับการยกย่องในเวทีโลก แต่ใครเลยจะรู้ว่าจำนวนผู้สำรวจจะมีแค่หยิบมือเท่านั้น ว่ากันตั้งแต่แรกเริ่มที่มีกัน 80 กว่าคน มาในวันนี้ บ้างก็ได้เลื่อนตำแหน่ง บ้างก็มีปัญหาทางสุขภาพ ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติงานตามเดิม ปัจจุบันนักสำรวจใต้พิภพของจีนเหลือเพียง 50 กว่าชีวิตเท่านั้น แต่ก็เป็นกลุ่มคนที่ผ่านการฝึกฝนทั้งในและนอกประเทศจนมีความสามารถในระดับโลก เรียกว่า ถึงจะเล็ก แต่ก็คุณภาพคับจอ
ถ้าเอ่ยถึงการสำรวจใต้พิภพของจีนแล้ว ไม่มีชื่อเรือ “หนานเอ้าหมายเลข 1” คงไม่ได้ เพราะเหมือนจะขาดอะไรไป เราลองไปดูความสำคัญของเรือลำที่ว่านี้กัน
หนานเอ้าหมายเลข 1 ถือเป็นการค้นพบเรือที่อับปางใต้ท้องทะเลที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดของโลกในปัจจุบัน ทั้งยังเป็นเรือที่มีขนาดใหญ่และอยู่ในสภาพที่ดีที่สุดในบรรดาเรือสินค้าที่ออกมหาสมุทร ซึ่งจมอยู่ใต้พิภพในขณะนี้ เป็นประจักษ์พยานที่ยืนยันพัฒนาการทางวัฒนธรรมและความเจริญรุ่งเรืองของการค้าขายทางทะเลของจีนได้เป็นอย่างดี การสำรวจเรือลำดังกล่าวย่อมเป็นข่าวครึกโครมในแวดวงการสำรวจใต้พิภพ เพราะต้องอาศัยเทคนิคการสำรวจที่ทันสมัยและมีความเป็นมืออาชีพอย่างมาก ที่สำคัญการสำรวจครั้งประวัติศาสตร์นี้ย่อมมีคุณูปการต่อการสำรวจใต้พิภพของนานาประเทศ ถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ให้แก่การสำรวจใต้พิภพของมนุษยชาติก็ว่าได้
เรือลำดังกล่าวมีความยาว 30.5 เมตร กว้าง 9.8 เมตร มีวัตถุโบราณราว 68 หมื่นชิ้น บางส่วนที่ขุดค้นขึ้นมาได้ นำมาวางแสดงในพิพิธภัณฑ์เส้นทางสายไหมทางทะเล มณฑลฮกเกี้ยนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยความที่จมอยู่ใต้ท้องทะเลทางชายฝั่งตะวันตกตรงปากแม่น้ำจูเจียงที่มีความลึกราว 20 กว่าเมตร เป็นบริเวณที่มีการระบายน้ำเสียลงแม่น้ำ ทำให้น้ำทะเลบริเวณดังกล่าวมีมลภาวะทางน้ำอย่างรุนแรง ส่งผลต่อความสามารถในการมองเห็นที่แทบเป็นศูนย์ จึงเป็นอุปสรรคต่อการงมหาซากวัตถุโบราณ เรือทั้งลำถูกโคลนปกคลุมหนาเป็นชั้นๆ วิธีการสำรวจแบบเดิมๆ คงใช้ไม่ได้ผลกับเรือลำดังกล่าว จึงต้องอาศัยวิธีการพิเศษที่สามารถคงไว้ซึ่งขุมทรัพย์ทางวัฒนธรรมให้ได้มากที่สุด
กล่าวได้ว่า การสำรวจวัตถุโบราณใต้พิภพของจีนเริ่มจากความว่างเปล่ากลายมาเป็นสิ่งที่จับต้องได้ พัฒนาจากการสำรวจทะเลน้ำตื้นและขยายผลออกไปยังทะเลน้ำลึก ขาดทุนทรัพย์ในการสำรวจ กระทั่งมีงบประมาณจำนวนมหาศาล และมีแนวโน้มว่าจะยังคงสานภารกิจดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
และไม่ว่าอย่างไร วัตถุโบราณที่สามารถขุดค้นขึ้นมาได้ และยังนอนแน่นิ่งอยู่ใต้พิภพ ล้วนเป็นหลักฐานทางโบราณคดีชิ้นสำคัญที่ช่วยไขปริศนาเรื่องราวความรุ่งโรจน์ของประวัติ ศาสตร์การเดินเรือของจีนได้เป็นอย่างดี


