posttoday

หนทางใหม่ในการต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายของสหรัฐ

15 พฤษภาคม 2554

ไม่ว่าการเสียชีวิตของโอซามา บิน ลาเดน จะนำมาซึ่งปฏิกิริยาใดๆ ก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นก็คือ ปฏิบัติการจู่โจมในครั้งนี้ เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นและชัดเจนที่สุดของรูปแบบใหม่ในการสงครามของสหรัฐ

ไม่ว่าการเสียชีวิตของโอซามา บิน ลาเดน จะนำมาซึ่งปฏิกิริยาใดๆ ก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นก็คือ ปฏิบัติการจู่โจมในครั้งนี้ เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นและชัดเจนที่สุดของรูปแบบใหม่ในการสงครามของสหรัฐ

การสู้รบที่สะท้อนให้เห็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างเทคโนโลยีด้านข่าวกรองและความซับซ้อนเชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์ทางการทหาร และนับเป็นรูปแบบใหม่ที่ใช้งานมากขึ้นผ่านงานของสายลับ หน่วยปฏิบัติการพิเศษ และการโจมตีโดยเครื่องบินบังคับในสมรภูมิรบ เช่น ปากีสถานและเยเมน

จอห์น นากล์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อต้านการก่อการร้ายและอดีตทหารยศพันโทในกองทัพสหรัฐ ผู้รับหน้าที่เป็นหัวหน้าศูนย์ความมั่นคงใหม่สำหรับอเมริกัน (Center for a New American Security) ในกรุงวอชิงตันยอมรับว่าธรรมชาติของการสู้รบได้เปลี่ยนไปจากแนวทางเดิมอย่างมากจนน่าประหลาดใจ

หนทางใหม่ในการต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายของสหรัฐ

“เพราะระหว่างที่เทคโนโลยียังคงเดินหน้าไม่หยุด และกลุ่มก่อการร้ายอย่างอัลกออิดะห์ก็ใช้เทคโนโลยีเหล่านั้นในการต่อต้านเรา ระบบการรักษาความปลอดภัยที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในการเผชิญหน้ากับประเทศอื่นๆ จึงถูกนำมาประยุกต์ใช้ในการต่อกรกับภัยคุกคามที่เป็นปัจเจกบุคคลหรือกลุ่มคนเล็กๆ แทน” นากล์ กล่าว

เมื่อข้าศึกเปลี่ยนไป กลยุทธ์การสู้รบจึงต้องเปลี่ยนแปลง หัวใจหลักของสงครามรูปแบบใหม่นี้จึงเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการนำข้อมูลบนแผ่นกระดาษให้นำมาใช้ได้ทันทีในสนามรบ ซึ่งรูปแบบใหม่นี้มุ่งให้ความสนใจกับการรวบรวมข้อมูลข่าวสารผ่านทางอุปกรณ์เช่น เครื่องบินบังคับทางไกลและสัญญาณจากดาวเทียม โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สามารถลำดับขั้นตอนที่แน่นอนในการระบุใบหน้าหรือสถานที่ของผู้ก่อการร้ายที่ต้องการตัวได้อย่างแม่นยำ เหมือนเช่นที่เครื่องไอแพดปรับจูนคลื่นรับสัญญาณ

“ผมไม่ต้องการห้องที่เต็มไปด้วยนักวิเคราะห์ผู้เก่งกาจ สิ่งที่ต้องการคือระบบข้อมูลที่ดีพอ เร็วพอ และใหญ่พอสำหรับนายทหารที่จะใช้งานในสนามรบ” หนึ่งในเจ้าหน้าที่ทางการทหารกล่าว โดยยังได้อธิบายเพิ่มเติมว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้กองทัพของสหรัฐได้เรียนรู้และค้นพบวิธีการที่ทำให้การปฏิบัติงานในสงครามเป็นไปได้ดีขึ้น ภายในเวลาไม่กี่อึดใจ

ทว่า ในช่วงเวลาที่งบประมาณทางการทหารของสหรัฐถูกจำกัด คำถามสำคัญก็คือว่า การเน้นใช้เทคโนโลยีชั้นสูงเหล่านี้ในการสู้รบกับศัตรูที่ไม่ใช่รัฐประเทศ จะเป็นหนทางที่คุ้มค่าคุ้มราคากับการรักษาความมั่นคงของประเทศหรือไม่ ขณะที่กลวิธีการสู้รบแบบเดิมก็ดูจะมาถึงทางตันเช่นเดียวกัน ซึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ กองกำลังขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) จำนวน 1.4 แสนนาย ที่ยังคงต่อสู้กับศัตรูซึ่งหลบซ่อนตัวอยู่ในอัฟกานิสถาน

สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ ไมเคิล คลาร์ก ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยกลาโหมและความปลอดภัยแห่งราชอาณาจักรให้คำนิยามว่าเป็นสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกับสไตล์ของภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอาจต้องบัญชายุทธการที่ระดับล่างสุด

ทั้งนี้ เมื่อดูจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในปฏิบัติการจู่โจม บิน ลาเดน ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในเมือง อับบอตทาบัตแล้ว โดยทันทีที่เฮลิคอปเตอร์สามารถตรึงพื้นที่ไว้ได้ และหน่วยปฏิบัติการพิเศษเริ่มลงมือตามแผนงาน ความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ก็คือ หนึ่งในทหารที่ปฏิบัติงานอาจหันหน้ามาหาประธานาธิบดีได้ทุกเมื่อ เพื่อยืนยันว่าจะยกเลิกปฏิบัติการนี้หรือไม่

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจใดๆ ในกลศึกไม่เพียงแต่ขึ้นอยู่กับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับสถานการณ์ความขัดแย้ง ณ ขณะนั้นๆ ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจในการลดจำนวนพลในอัฟกานิสถาน แล้วเลือกใช้ปฏิบัติการหน่วยจู่โจมพิเศษ แทนที่จะเพิ่มกำลังพลเพื่อรักษาเขตแดนที่ยึดคืนมาได้จากกลุ่มผู้ก่อการร้ายตาลีบัน

สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับก็คือว่า ความขัดแย้งในเชิงกลยุทธ์ทางทหารในสหรัฐเป็นสิ่งที่ดำเนินมาเป็นระยะเวลานานพอสมควรแล้ว โดยฝ่ายหนึ่งสนับสนุนแนวคิดของโคลิน เพาเวลล์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐ ที่เน้นในเรื่องจำนวนกำลังพล กับแนวคิดของโดนัลด์ รัมสเฟลด์ อดีตรัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐ ที่เห็นว่ากองทัพควรใช้ประโยชน์จากกองกำลังพิเศษ และเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้มากขึ้น

ทว่าในความเป็นจริงที่เป็นไป สถานการณ์ไม่ได้เอื้อให้สองขั้วความคิดสามารถแบ่งแยกออกจากกันอย่างชัดเจน แต่สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองอับบอตทาบัด บรรดาผู้เชี่ยวชาญทางทหารได้วิเคราะห์แล้วเห็นตรงกันว่าการดำเนินการที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของหน่วยซีลแห่งนาวิกโยธินสหรัฐ และหน่วยข่าวกรองเป็นปฏิบัติการที่ค่อนข้างตรงไปตรงมา และมีเวลาในการเตรียมการล่วงหน้าหลายเดือน จึงส่งผลให้ในแง่ของปฏิบัติการพิเศษที่ผสมผสานสองสิ่งเข้าไว้ด้วยกันเป็นเรื่องง่าย เมื่อเทียบกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในอัฟกานิสถาน ที่คลาร์ก มองว่า การทำงานของหน่วยปฏิบัติการพิเศษเป็นสิ่งที่หนักกว่านี้มาก

กระนั้น ตามสายตาของบุคคลภายนอกที่มองเข้ามา สิ่งที่สร้างความประทับใจได้มากที่สุดก็คือความร่วมมือร่วมใจระหว่างหน่วยปฏิบัติการพิเศษกับเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองจนนำไปสู่ความสำเร็จ เพราะ สหรัฐได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางมาโดยตลอดว่าใช้เจ้าหน้าที่ทหารและหน่วยข่าวกรองเป็นจำนวนมากในการทำงานที่ใกล้เคียงกัน แต่กลับไม่ยอมข้องเกี่ยวกัน

ผลลัพธ์ที่ตามก็คือความล้มเหลว อย่างในกรณีที่หน่วยข่าวกรองของสหรัฐไม่สามารถสืบพบแผนก่อการร้ายของเครือข่ายอัลกออิดะห์ที่จะยิงเครื่องบินให้ร่วงบริเวณสนามบินเมืองดีทรอยต์ในวันคริสต์มาสเมื่อปี 2552

อย่างไรก็ตาม ปฏิบัติการจู่โจมล่าสุดในปากีสถานเป็นความสำเร็จจากการร่วมมือของทั้งทหารและหน่วยข่าวกรองอย่างไม่ต้องสงสัย โดยหน่วยข่าวกรองได้ระบุที่ซ่อนตัวของ บิน ลาเดน หลังจากรวบรวมข้อมูลจากหลายด้านทั้งจากผู้ต้องขังในเรือนจำที่อ่าวกัวตานาโม และภาพถ่ายจากเครื่องบินบังคับไร้คนขับและดาวเทียมอยู่นานถึง 8 ปี ก่อนที่จะส่งหน่วยซีลออกดำเนินการภายใต้คำสั่งการของซีไอเอ

หนทางใหม่ในการต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายของสหรัฐ

ทั้งนี้ทั้งนั้น นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทหารและหน่วยข่าวกรองทำงานร่วมกัน เพราะปฏิบัติการในอิรักและอัฟกานิสถานก็เป็นความพยายามในการร่วมมือกันเพื่อสร้างสายสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายให้แน่นแฟ้นขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น เพียงแค่ 3 วันก่อนหน้าปฏิบัติการล่าสังหาร บิน ลาเดน จะเริ่มต้นขึ้น ประธานาธิบดีโอบามาแห่งสหรัฐยังได้แต่งตั้งให้ ลีอง ปาเนตตา ผู้อำนวยการซีไอเอเป็นรัฐมนตรีกลาโหม ขณะเดียวกันก็ให้นายพลเดวิด เพทราอุส ผู้บัญชาการกองกำลังในอัฟกานิสถานเป็นผู้อำนวยการซีไอเอแทน

เจ้าหน้าที่อาวุโสจากกระทรวงกลาโหมของอังกฤษระบุว่า ความพยายามดังกล่าวของสหรัฐแสดงให้เห็นว่า สหรัฐต้องการผนวกเอาเทคโนโลยีด้านการข่าวกับการปฏิบัติการทางทหารเข้าไว้ด้วยกัน ขณะที่รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ของสหรัฐก็มีแนวทางที่ชัดเจนว่าต้องการให้ผู้บัญชาการในสนามรบมีช่องความถี่ของคลื่นวิทยุเพิ่มขึ้นเพื่อใช้ในการติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกันให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

“นี่คือตัวอย่างของผู้นำที่ไม่กังวลกับการขาดแคลนอาวุธมากเท่ากับการขาดข้อมูลข่าวสาร” หนึ่งในเจ้าหน้าที่อาวุโสจากกระทรวงกลาโหมของอังกฤษกล่าว

ด้าน โรเบิร์ต เกตส์ อดีตรัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐได้เคยกล่าวเตือนไว้แล้วว่าในอนาคตข้างหน้านี้ รัฐมนตรีกลาโหมคนใดที่แนะนำให้ประธานาธิบดีสหรัฐส่งกำลังพลภาคพื้นดินขนาดใหญ่เข้าไปปฏิบัติ งานตามที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเอเชีย ตะวันออกกลาง หรือแอฟริกา ควรที่จะต้องพิจารณาตัวเองเสียใหม่

การกระทำทั้งหมดของสหรัฐได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า เทคโนโลยีขั้นสูงอย่างเครื่องบินบังคับวิทยุไร้คนขับ หรือมิสไซล์โจมตีจากเรือรบ เป็นเครื่องมือสำคัญในการเปิดศึกสู้รบ อันเป็นวิธีการที่หน่วยข่าวกรองอย่างซีไอเอต่อสู้เพื่อต่อต้านกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์ในพรมแดนปากีสถาน และเป็นวิธีการเดียวกับที่กองทัพใช้ในการต่อสู้กับกองกำลังอัลกออิดะห์ในคาบสมุทรอาระเบีย
นั่นเท่ากับว่า เป้าหมายที่ประธานาธิบดีโอบามาแห่งสหรัฐจะหั่นงบประมาณทางทหารออก 4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 12 ล้านล้านบาท) ภายใน 12 ปีข้างหน้านี้ จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกำลังพล และจำนวนทหาร ซึ่งมีแนวโน้มที่จะมีขนาดเล็กลงแต่มีศักยภาพในการต่อสู้มากยิ่งขึ้น

แต่ทว่า เรื่องหนึ่งที่ต้องยอมรับก็คือ ความก้าวหน้าใหม่นี้ยังคงมีข้อจำกัดหลายด้าน เช่นเดียวกันกับการนำไปใช้ โดยหลังการสู้รบนานหลายปี สหรัฐได้เล็งเห็นแล้วว่า ทางกองทัพยังจำเป็นต้องมีกำลังพลมากกว่าหมื่นนายสำหรับปฏิบัติภารกิจ ซึ่งส่งผลให้เกิดกระแสกดดันว่าเทคโนโลยีขั้นสูงในการต่อกรกับการก่อการร้ายมีความจำเป็นและสำคัญมากแค่ไหน

ทั้งนี้ ภายในหน่วยปฏิบัติการพิเศษของสหรัฐความบาดหมางระหว่างฝ่ายที่เชื่อในการลงมือปฏิบัติ กับฝ่ายที่เน้นย้ำให้ฝึกทหารในหน่วยให้คุ้นเคยกับการใช้เครื่องมือสั่งงาน ได้ดำเนินมาเป็นระยะเวลานานร่วมเดือนแล้ว โดยฝ่ายหลังมองว่าวิธีการนี้ สามารถป้องกันไม่ให้พวกก่อความรุนแรงเกณฑ์กำลังพลใหม่ๆ เสริมเข้ามาได้

แต่เหมือนกับประชดที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษที่ใหญ่ที่สุด และเป็นสัญลักษณ์ของกองทัพสหรัฐ ซึ่งรู้จักกันในนาม หน่วยพิเศษ กรีน เบอร์เร็ตส์ (Green Berets) กลับได้รับการฝึกฝนและการสนับสนุนมาอย่างยาวนานกับการปฏิบัติภารกิจในการระบุแหล่งกบดานของผู้ก่อการร้าย โดยใช้อุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ

อย่างไรก็ตาม หนึ่งในเจ้าหน้าที่ทหารที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโต้แย้งภายในต่อประเด็นขัดแย้งในครั้งนี้กลับมองว่า สหรัฐควรใช้เงินเพื่อให้ชุมชนใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมที่ผู้ก่อการร้ายรุ่นต่อไปจะเติบโตขึ้นมาให้ดีขึ้น

หนทางใหม่ในการต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายของสหรัฐ

ขณะที่แง่มุมด้านอื่นๆ ของรูปแบบสงครามในอนาคตก็ต้องนำมาพิจารณาด้วยเช่นกัน หนึ่งในนั้นก็คือ สงครามบนโลกไซเบอร์ ซึ่งก้าวเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เช่นกรณีเมื่อปีที่ผ่านมาของการระบาด Stuxnet ไวรัส ที่หลายฝ่ายเชื่อว่าเป็นฝีมือการโจมตีของชาติตะวันตกเพื่อต่อต้านโครงการนิวเคลียร์ในอิหร่าน

แน่นอนว่ากระทรวงกลาโหมของสหรัฐได้จัดตั้งหน่วยงานด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มารองรับ ทว่า เจ้าหน้าที่ทหารเองก็ยอมรับว่าขอบเขตความสนใจในสงครามไซเบอร์ยังไม่เป็นที่แน่ชัด และไม่มีแม้กระทั่งการบัญญัติให้เป็นกฎปฏิบัติอย่างเป็นทางการ ทำให้ยากต่อการต่อสู้ขัดขวางศัตรูที่อาจมีมาได้ทุกเมื่อ

กระนั้น อุปสรรคข้างต้นก็ไม่ได้ขัดขวางหรือลดการพึ่งพาเทคโนโลยีอย่างเครื่องบินบังคับเพื่อการข่าวกรองหรือเพื่อการโจมตีทางอากาศให้ลดน้อยลงได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ก็คือปฏิบัติการในลิเบีย ที่สหรัฐใช้เครื่องบินบังคับทางไกลตลอด 24 ชม. ซึ่งนับเป็นสิ่งที่เกินขีดจำกัดของมนุษย์

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่บางส่วนในกองทัพยังมองว่า เครื่องบินบังคับเหล่านี้ มีความคล่องตัวและราคาถูกกว่า เครื่องบินเจ็ตต่อสู้ ที่การออกคำสั่งและการปฏิบัติตามคำสั่งยังล่าช้า

อย่างไรก็ตาม บรรดาเจ้าหน้าที่จากเพนตากอนได้ตัดสินใจไว้นานแล้วว่า สหรัฐไม่สามารถมีชัยเหนือสงครามใดๆ โดยอาศัยแสนยานุภาพทางอากาศแต่เพียงอย่างเดียว ขณะที่เจ้าหน้าที่อีกส่วนหนึ่งต่างมองว่าการใช้เครื่องบินไร้คนขับสุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดหลักศีลธรรม เนื่องจากทหารได้เผชิญหน้าและควบคุมสถานการณ์การสู้รบจากที่ที่ห่างไกล

ยิ่งไปกว่านั้น ปฏิบัติการในปากีสถานในครั้งนี้ แสดงให้เห็นแล้วว่าความสำเร็จดังกล่าวจำต้องพึ่งพาความร่วมมือเป็นอย่างดีกับทางกรุงอิสลามาบัด ซึ่งยินยอมให้เครื่องบินบังคับไล่ล่าบินเหนือน่านฟ้าอาณาเขตของประเทศเพื่อเก็บข้อมูล

นั่นเท่ากับว่า การสืบราชการลับของหน่วยข่าวกรองทั้งหมดมีสิทธิเปลี่ยนแปลงผันผวนด้วยเหตุปัจจัยทางการเมือง ซึ่งปฏิกิริยาโกรธแค้นที่ปากีสถานมีต่อปฏิบัติการจู่โจม บิน ลาเดน ในครั้งนี้ นับเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นเป็นอย่างดีว่าการให้ความช่วยเหลือสนับสนุนไม่สามารถไว้วางใจได้ตลอดไป

ขณะที่นักวิเคราะห์บางคนแย้งว่า ประวัติศาสตร์ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่ทำให้สหรัฐไขว้เขวจากยุทธศาสตร์ที่สหรัฐควรจะต้องกังวลในสถานะของชาติมหาอำนาจ นั่นคือการเติบโตของประเทศจีน

แม้ว่า สงครามของอนาคตได้มาถึงแล้ว แต่รูปแบบการต่อสู้ดั้งเดิมก็ยังไม่ใช่วิธีการโบราณล้าสมัย

“ศูนย์กลางสำคัญสำหรับการเปลี่ยนแปลงด้านกำลังทหารของสหรัฐในทศวรรษข้างหน้าคือการหาสมดุลระหว่างขีดความสามารถตามธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมา ซึ่งหมายถึงแสนยานุภาพทางอากาศและทางน้ำ กับความสามารถที่จะทำการรบได้อย่างต่อเนื่องยาวนานที่สุดเพื่อต่อต้านพวกหัวรุนแรงของสหรัฐ ซึ่งหมายถึงกองกำลังภาคพื้นดินและหน่วยปฏิบัติการพิเศษในตะวันออกกลาง” นากล์ กล่าว

นอกจากนี้ นากล์ได้แสดงความเห็นเพิ่มเติมว่า ด้วยศักยภาพของสหรัฐที่ยังคงพัฒนาไม่หยุดยั้ง สหรัฐสามารถที่จะคงความเป็นประเทศมหาอำนาจได้อย่างสบายๆ

“เราทำได้ทั้งสองอย่าง เราจะมีพลังเหมือนกับที่เราสามารถเดินและเคี้ยวหมากฝรั่งไปได้พร้อมๆ กัน” นากล์กล่าว

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา