เศรษฐกิจจีนยังฮอตเกินดุล ด้านหนี้ยุโรปยังป่วน
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ความร้อนแรงของเศรษฐกิจในประเทศจีนดูจะเป็นเรื่องที่ทั่วโลกไม่อาจมองข้ามได้
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ความร้อนแรงของเศรษฐกิจในประเทศจีนดูจะเป็นเรื่องที่ทั่วโลกไม่อาจมองข้ามได้
ทั้งในด้านการค้าที่จีนพลิกกลับมาเป็นฝ่ายได้ดุลอีกครั้ง หลังจากที่ขาดดุลไปในช่วงไตรมาสแรกของปี และจากตัวเลขเงินเฟ้อที่ลดลง
ทั้งนี้ ในระหว่างที่ตัวแทนด้านเศรษฐกิจการค้าของสหรัฐและจีนได้หารือพูดคุยตกลงกันในการประชุมเศรษฐกิจประจำปีที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐ กรมศุลกากรจีนได้เปิดเผยตัวเลขการค้าช่วงเดือน เม.ย. หรือเดือนแรกของไตรมาส 2 ซึ่งระบุว่าจีนมีดุลการค้าเกินดุลในอัตราที่สูงถึง 1.44 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.44 แสนล้านบาท) และมากที่สุดในรอบ 4 เดือน
มูลค่าการส่งออกของจีนทำสถิติต่อเดือนสูงสุดครั้งใหม่ที่ 1.557 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 29.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมาก กว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์กันไว้เกือบ 4 เท่าตัว
ขณะที่มูลค่าการนำเข้าของจีนในเดือน เม.ย.ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น 21.8% อยู่ที่ 1.443 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เช่นเดียวกัน ซึ่งแม้ว่าตัวเลขการนำเข้าจะเพิ่มขึ้นแต่ก็ถือว่าน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์หลายฝ่ายคาดการณ์กันเอาไว้
การได้เปรียบดุลการค้าของจีนในครั้งนี้ส่งผลให้ปริมาณการได้ดุลการค้ารวมในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมาของปีนี้พุ่งไปอยู่ที่ 1.03 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐทันที ทั้งๆ ที่ในช่วงระหว่างเดือน ม.ค.มี.ค.นั้น ดุลการค้าของจีนติดลบอยู่ที่ 1.02 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นการติดลบประจำไตรมาสครั้งแรกในรอบ 7 ปี
รายงานดุลการค้าของกรมศุลกากรยังระบุอีกว่า การค้าเกินดุลของจีนต่อเฉพาะสหรัฐในเดือนดังกล่าวนั้นยังเพิ่มขึ้นถึง 52% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีมูลค่า 1.51 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนการค้าเกินดุลของจีนต่อสหภาพุโรป ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของจีนนั้นลดลงเล็กน้อยแต่ยังคงอยู่ในปริมาณมากที่ 1.03 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
จากตัวเลขดุลการค้าของจีนที่กล่าวมาทั้งหมด ทำให้นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าตลอดทั้งปีนี้ จีนจะได้ดุลการค้ามากถึง 1.62 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจีนจะได้เปรียบดุลการค้ากับประเทศต่างๆ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีสำหรับจีนเท่าไรนัก เพราะนั่นเท่ากับเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ให้เห็นว่าข้อกล่าวหาของสหรัฐที่มีต่อประเทศจีนนั้น มีมูลความจริง และจะยิ่งกลายเป็นแรงกดดันให้จีนต้องเร่งปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศ และปล่อยค่าเงินหยวนให้เป็นไปตามกลไกตลาดตามที่สหรัฐและบรรดาประเทศคู่ค้าอื่นๆ เรียกร้อง
ขณะเดียวกัน ทางการจีนยังได้เปิดเผย รายงานอัตราเงินเฟ้อประจำเดือน เม.ย. ซึ่งระบุว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีพีไอ) ลดลงเหลือ 5.3% โดยปรับตัวลดลง 0.1% จากระดับ 5.4% เมื่อเดือน มี.ค. ซึ่งเป็นเดือนที่อัตราเงินเฟ้อของจีนพุ่งสูงที่สุดใน รอบ 32 เดือน
ทั้งนี้ เงินเฟ้อจีนที่ลดลงเป็นผลมาจากมาตรการควบคุมเงินเฟ้อที่เข้มงวดของรัฐบาลจีน แต่ทว่าระดับเงินเฟ้อดังกล่าวก็ยังคงอยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง โดยบรรดานักเศรษฐศาสตร์ต่างเห็นพ้องว่า รัฐบาลจีนควรที่จะออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อรับมือกับเงินเฟ้อ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มระดับทุนสำรองระหว่างประเทศ การขึ้นอัตราดอกเบี้ย และการปล่อยให้ค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้น
วิกฤตหนี้ยุโรปส่อเค้าวุ่น
ข้ามฟากมาที่ประเทศคู่ค้ารายใหญ่ของจีนอย่างกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) ซึ่งในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา สถานการณ์หนี้สาธารณะได้ส่อเค้าความวุ่นวายสั่นคลอนเศรษฐกิจในภูมิภาค
เริ่มต้นที่ประเทศกรีซ ซึ่งโดนสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือพันธบัตรระยะยาวของกรีซลง 2 ขั้น จาก “บีบี” เป็น “บี” ซึ่งหมายถึงต่ำกว่าระดับที่น่าลงทุน 6 ขั้น หลังมีความเป็นไปได้ว่ากรีซจะต้องปรับโครงสร้างหนี้ และจะต้องการเวลาเพิ่มขึ้นเพื่อชำระหนี้เงินกู้วิกฤต
ขณะที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือมูดีส์ก็ได้ประกาศว่าจะทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือของกรีซด้วยเช่นกัน เนื่องจากภาวะการขาดดุลงบประมาณ และความกังวลต่อความสามารถในการชำระหนี้ของกรีซ
ด้านรัฐบาลกรีซรีบออกมาแถลงโต้ทันควัน โดยมองว่าการปรับลดอันดับในครั้งนี้ของเอสแอนด์พีไม่มีเหตุผล และมีแต่จะยิ่งทำให้สถานการณ์ที่กำลังจะดีขึ้นต้องเลวร้ายลง
ทั้งนี้ ภายหลังจากการปรับลดอันดับ สำนักข่าวบลูมเบิร์กได้เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำทั่วโลก ซึ่งปรากฏว่ามีนักเศรษฐศาสตร์ถึง 85% ที่เชื่อว่า กรีซ โปรตุเกส และไอร์แลนด์ จะไม่สามารถชำระหนี้สาธารณะ ก้อนมหาศาล รวมถึงชำระคืนเงินช่วยเหลือจากสหภาพยุโรป (อียู) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)
โดยชี้ว่า แนวโน้มทางเศรษฐกิจและการเงินการคลังของทั้ง 3 ประเทศ แสดงอาการที่แย่ลงอย่างมากนับตั้งแต่เดือน ม.ค.
นอกจากนี้ ผลสำรวจยังปรากฏว่าสัดส่วนของนักลงทุนที่ยังเชื่อมั่นในสถานะทางเศรษฐกิจและหนี้สินของสเปน เหลือเพียง 1 ใน 4 ส่วนเท่านั้น และเชื่อว่า สเปน จะไม่สามารถชำระหนี้สาธารณะได้เช่นกัน
แม้ว่าขณะนี้สเปนจะยังไม่ขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนของ อียู และ ไอเอ็มเอฟ ก็ตาม ขณะเดียวกัน นักลงทุนในสัดส่วน 5% ยังเชื่อว่า อังกฤษจะไม่สามารถชำระหนี้สาธารณะได้เช่นกัน
ขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันโลกที่ผันผวน ส่งผลให้กองทุน ไคลฟ์ แคปิตอล ซึ่งเป็นหนึ่งในกองทุนเฮดจ์ฟันด์ตลาดโภคภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกต้องขาดทุนสูงถึง 400 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.2 หมื่นล้านบาท) แต่บรรดาผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่ต่างเชื่อมั่นว่าโดยภาพรวมกองทุนยังแข็งแรงดีอยู่


