อับบอตทาบัด เมืองที่โลกต้องจารึก จุดจบ หรือ จัดฉาก
ขณะที่กรุงอิสลามาบัด เมืองหลวงของประเทศปากีสถาน และเมืองท่องเที่ยวอย่าง ละฮอร์
ขณะที่กรุงอิสลามาบัด เมืองหลวงของประเทศปากีสถาน และเมืองท่องเที่ยวอย่าง ละฮอร์
อัดแน่นไปด้วยความวุ่นวายจอแจของผู้คนและนักท่องเที่ยว อับบอตทาบัด ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงอิสลามาบัดไปทางตอนเหนือเพียง 50 กม. กลับเป็นเมืองเล็กๆ ที่เงียบสงบย่านชานเมือง แวดล้อมด้วยผู้คนที่ดำรงชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่เร่งรีบ ท่ามกลางถนนคดเคี้ยวบนภูเขาที่ต้องใช้ระยะเวลาในการเดินทางสัญจรพอสมควร
เป็นเมืองที่เรียกได้ว่าห่างไกลจากความแออัด และเป็นเมืองที่อาจเรียกได้ว่าปลอดภัยที่สุดในปากีสถาน เพราะเมื่อเอ่ยถึงปากีสถาน หลายต่อหลายคนอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเสียงระเบิดหรือเหตุการณ์ไม่สงบภายในประเทศซึ่งเป็นข่าวอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้รุนแรงระหว่างชนเผ่าของประเทศอัฟกานิสถานซึ่งมีพรมแดนติดกัน หรือแม้กระทั่งข้อพิพาทเรื่องพื้นที่เขตแดนบนดินแดนแคว้นแคชเมียร์ระหว่างอินเดียและปากีสถานเอง
แต่อับบอตทาบัดกลับไม่เคยสัมผัสของบรรยากาศน่าหวาดหวั่นเช่นนั้นเลยสักครั้ง ไม่จนกระทั่งเช้ามืดในวันจันทร์ที่ 2 พ.ค. 2554 วันที่โลกต้องจดจำถึงชัยชนะของสหรัฐ (หรืออาจเป็นความเศร้าโศกเจ็บปวดของใครบางคน) ที่สามารถจัดการปลิดชีพ ศัตรูหมายเลขหนึ่ง โอซามา บิน ลาเดนและต้องจารึกชื่อเมืองแห่งนี้ไปตลอดกาล ในฐานะที่ตายของผู้นำกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์ รายนี้
ในวินาทีแรกที่ถูกเสียงใบพัดแหวกอากาศของเฮลิคอปเตอร์ เสียงรัวปืนของการต่อสู้ และเสียงกึกก้องของระเบิดปลุกให้ลืมตาตื่นจากนิทรารมณ์อย่างแตกตื่น สิ่งแรกที่ชาวบ้านในเมืองอับบอตทาบัดรับรู้ได้คือเกิดการนองเลือดอย่างดุเดือดบนพื้นที่ที่ไม่ไกลจากละแวกบ้านของตนเท่าไรนัก และมองเห็นเพียงแค่ท้องฟ้าดำมืดที่ถูกย้อมไปด้วยแสงสว่างวาบจากระเบิดและไฟไหม้
การต่อสู้ดูจะกินเวลาประมาณ 40นาที ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง ขณะที่เสียงกระหึ่มของเฮลิคอปเตอร์ค่อยๆ ไกลออกไป
ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่มีแม้เพียงคนเดียว ผู้คนที่นี่ถูกทิ้งให้อยู่กับคำถามที่ค้างคาใจ พร้อมกับวันใหม่ที่มาเยือน
ค่ำคืนสุดระทึก
ทันทีที่ได้ยินเสียงเฮลิคอปเตอร์บินมาแต่ไกล โซแฮร์ อัตธาร์ หนึ่งในชาวบ้านท้องถิ่นซึ่งอาศัยอยู่ที่นี่ ก็รู้แน่ว่ามีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้น
“ครั้งสุดท้ายที่เมืองแห่งนี้ได้เห็นเฮลิคอปเตอร์มากขนาดนี้ก็คือเมื่อตอนที่ภูมิภาคแถบนี้ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากน้ำท่วม” โซแฮร์ อัตธาร์ วิศวกรซอฟต์แวร์อิสระและเจ้าของร้านกาแฟเล่าย้อนถึงค่ำคืนสุดระทึก โดยมิวายตั้งข้อสังเกตว่า เฮลิคอปเตอร์เหล่านั้นไม่ได้ลงจอดในทันที เหมือนเช่นทุกครั้งที่มีมา แต่บินร่อนวนเวียนอยู่อย่างนั้น จนอัตธาร์อดไม่ได้ที่จะทวีตข้อความลงในทวิตเตอร์ส่วนตัวแบบขำๆ
“ไปให้พ้นเสียทีได้ไหมเนี่ย ไม่งั้นได้เจอไม้ตบยุงอันยักษ์แน่”
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้นทำให้เจ้าของร้านกาแฟแห่งนี้ ซึ่งสู้อุตส่าห์หลีกหนีจากความไม่สงบวุ่นวายในเมืองละฮอร์ มาสู่ความสันติสุขในเมืองอับบอตทาบัดถึงกับตลกไม่ออกเลยทีเดียว และได้แต่นั่งตัวสั่นด้วยความหวาดหวั่นภายในใจเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นไม่นานนัก เสียงระเบิดลูกแรกก็ดังขึ้น
“ในใจผมตอนนั้นนึกอยู่อย่างเดียวว่า ผมย้ายมาอยู่ที่นี่ด้วยเหตุผลเดียวก็คือต้องการหนีจากระเบิดและความรุนแรง แล้วตอนนี้พวกมันถึงกับตามผมมาถึงที่นี่เชียวหรือ”
ไม่เพียงแต่อัตธาร์เท่านั้นที่กลัวและเสียขวัญ ฟาเยซ นูร์ นักเรียนหนุ่มจากสถาบันเทคโนโลยีสารสนเทศ วัย 24 ปี ซึ่งอยู่ห่างจากสถานที่ปฏิบัติการจู่โจมเพียง 3 กม.ทำได้แต่เก็บตัวเงียบอยู่ภายในที่พักเท่านั้น
แต่แม้จะไม่กล้าออกไปดู สิ่งที่เด็กหนุ่มจำได้แม่นยำคือเวลาที่ระเบิดลูกแรกดังขึ้น
“เกิดระเบิดด้วยกันทั้งหมด 3 ลูก ลูกแรกเกิดเมื่อเวลาประมาณ 01.08 น. ลูกที่สามตามมาติดๆ สามนาทีหลังจากนั้น และรู้สึกว่าจะเป็นลูกที่ใหญ่ที่สุด” นูร์บรรยายให้นักข่าวซีเอ็นเอ็นถึงเหตุการณ์ในค่ำคืนนั้น และยอมรับว่าตนเองไม่อาจขยับไปไหนได้ ทั้งๆ ที่อยากรู้เหลือเกินว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ทำได้แค่ส่งข้อความไปสอบถามจากเพื่อนฝูงในกลุ่ม และเฝ้ารอจนกระทั่งเฮลิคอปเตอร์จากไป เช่นเดียวกับ ซาห์นดานา ซาเยดคุณหมอซึ่งทำงานอยู่ในเมือง เพียงแต่คุณหมอตัดสินใจลุกมองออกไปนอกหน้าต่างจนทันเห็นเฮลิคอปเตอร์ลำสุดท้ายแล่นจากไปในระดับที่ต่ำมาก
ความจริงของคำตอบ
เมื่อรู้ดีว่าไม่สามารถทำอะไรมากไปกว่ารับทราบได้ ทุกคนในเมืองอับบอตทาบัดต่างเตรียมตัวเข้านอนอีกครั้ง โดยมีรายงานจากสถานีโทรทัศน์ของประเทศเท่านั้นที่ระบุว่า เป็นการซ้อมรบของกองทัพปากีสถาน ก่อนที่ความจริงอันน่าตื่นตะลึงจะได้รับการเผยแพร่ตามมาภายหลังว่าชายที่ทั่วโลกต้องการตัวมากที่สุดและไม่รู้ว่าซ่อนตัวอยู่มุมไหนของโลก โอซามา บิน ลาเดน ตายแล้ว ด้วยฝีมือของหน่วยปฏิบัติการพิเศษของสหรัฐ
แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับข้อเท็จจริงที่รายงานออกมาว่า หัวหน้ากลุ่มอัลกออิดะห์รายนี้ ซ่อนตัวอยู่ในอับบอตทาบัดมานานแล้ว ในชนบทที่เงียบสงบ ท่ามกลางผู้คนที่แต่งกายในลักษณะเหมือนชาวตะวันตก เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อที่ โอซามา บิน ลาเดน จะมากบดานอยู่ที่นี่
“เป็นเรื่องที่ประหลาดใจที่สุด ไม่มีใครรู้ระแคะระคายเลย” คุณหมอซาเยดกล่าว
แม้ไม่อยากเชื่อต่อสิ่งที่เกิดขึ้น แต่กองกำลังทหารที่เข้ามา พร้อมการปิดกั้นสถานที่เกิดเหตุ และการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด ทำให้ไม่อาจไม่ยอมรับกับความจริงที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้
อย่างไรก็ตาม ส่วนลึกภายในใจของผู้คนที่นี่อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามกับการทำงานของรัฐบาลปากีสถานว่า ทำไมถึงไม่รู้ความจริงข้อนี้ ทำไมถึงยอมปล่อยให้กองกำลังต่างชาติเข้ามากระทำการอุกอาจตามอำเภอใจ ทั้งๆ ที่เสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินของพลเรือนในประเทศ และความจริงที่น่าสงสัยว่า บิน ลาเดน ชายที่เป็นภัยคุกคามต่อโลก โดยเฉพาะกับสหรัฐ ได้จบชีวิตลงแล้วจริงหรือ เพราะวิธีที่สหรัฐจัดการกับศพของบิน ลาเดน ช่างรวดเร็วและง่ายดาย ด้วยการฝังลงทะเล ก่อให้เกิดกระแสโกรธแค้น และไม่พอใจ เนื่องจากต่อให้เป็นฆาตกร ก็ยังต้องได้รับพิธีศพอย่างสมเกียรติในฐานะมนุษย์
และวิธีการจัดการแบบนี้นี่เองที่หลายฝ่ายอดนึกไม่ได้ว่า แท้จริงแล้วความยุติธรรมที่สหรัฐเฝ้าทวงถาม เป็นเพียงแค่ละครฉากหนึ่งจากค่ายฮอลลีวูด เพื่อแหกตาคนทั้งโลก โดยมีเกมการเมืองในสหรัฐเป็นเดิมพัน
จัดฉากเพื่อสั่งสอนปากีสถาน
การปฏิบัติการบันลือโลกของกองกำลังพิเศษของทหารสหรัฐบนดินแดนแห่งขอบเขตอำนาจของประเทศปากีสถานในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่สร้างเสียงสรรเสริญ และเพิ่มคะแนนนิยมให้กับประเทศสหรัฐเท่านั้น แต่ยังสร้างผลกระทบด้านลบแบบมหาศาลต่อภาพลักษณ์ของประเทศปากีสถานด้วยเช่นเดียวกัน
เพราะสถานที่สุดท้ายที่โอซามาบิน ลาเดน สามารถใช้ลมหายใจได้นั้นตั้งอยู่ไม่ไกลจากกรุงอิสลามาบัด เมืองหลวงของปากีสถานเท่าไรนัก โดยใช้เวลาขับรถเพียงแค่ 2 ชั่วโมงจากที่ทำการสำคัญของรัฐบาล และหน่วยงานทางทหารเท่านั้น
ในฐานะประเทศ แม้ไม่อาจถึงขั้นที่เรียกได้ว่าเป็นความอัปยศอดสู แต่ก็ถือเป็นเรื่องที่น่าอับอายขายหน้ายิ่ง
เดิมทีภาพลักษณ์ของประเทศปากีสถานก็ใช่ว่าจะดีนักในสายตาบรรดานักวิเคราะห์ความมั่นคงจากชาติตะวันตก ด้วยเชื่อว่าปากีสถานเป็นแหล่งกบดานที่สำคัญและอาจมีส่วนเลี้ยงดูบำรุงกำลังกองทหารเหล่านี้
แม้ปากีสถานจะออกปฏิเสธข้อกล่าวหานั้นๆ อย่างหนักแน่นอยู่เสมอ พร้อมชี้แจงว่าสถานการณ์ขมขื่นที่ประเทศต้องเผชิญหน้าอยู่ในขณะนี้ ล้วนเป็นฝีมือของอัฟกานิสถานและผลงานของกองกำลังต่างชาติแทบทั้งสิ้น แต่ก็ไม่อาจลบความกังขาในใจของโลกตะวันตกออกไปได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อย้อนกลับมามองความรู้สึกของผู้คนในปากีสถาน กระแสเสียงส่วนใหญ่แม้จะรู้สึกยินดีต่อการจากไปของชายที่ทำให้ศาสนาอิสลาม และชาวมุสลิมกลายเป็นวายร้ายในสายตาของคนเกือบค่อนโลก กระนั้นก็ไม่อาจอดใจที่จะไม่ให้สงสัยได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นเพียงละครบทหนึ่งที่สหรัฐเป็นผู้กำกับขึ้นมาเท่านั้น เพราะไม่เพียงแต่จะสามารถกำจัดศัตรูหมายเลขหนึ่งของประเทศได้แล้ว ยังสามารถจัดการกำราบปากีสถานไปได้ด้วย เรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว
ไกเซอร์ ข่าน ผู้เชี่ยวชาญด้านไอที ในวัย 55 ปี ซึ่งทำงานอยู่ในเมืองการาจี เมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศปากีสถาน และเป็นเมืองท่าที่กองกำลังขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ใช้เป็นสถานที่เทียบท่าเพื่อส่งกำลังพล และสรรพาวุธในการต่อสู้ในประเทศอัฟกานิสถาน กล่าวว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ยังรู้สึกตะหงิดๆ อยู่ในใจว่า แท้จริงแล้ว บิน ลาเดน อาจไม่ได้ถูกฆ่าในปากีสถาน
“พวกมะกันอาจจัดการเชือดเขาจากที่อื่น บางทีอาจเป็นที่ใดที่หนึ่งในอัฟกานิสถาน จากนั้นก็แสดงบทบู๊แบบหนังฮอลลีวูดที่นี่ เพื่อทำลายชื่อเสียงของประเทศเรา” ไกเซอร์ กล่าว
จนกว่าสหรัฐอเมริกาจะสามารถพิสูจน์ให้โลกได้ประจักษ์ว่า ชายที่ได้ตายไปคือโอซามา บิน ลาเดน ไม่ว่าใครต่างมีสิทธิกังขาถึงความเป็นไปได้ที่น่าจะเกิดขึ้นแทบทั้งสิ้น ว่าแท้จริงแล้วเมืองอับบอตทาบัด คือจุดจบของบิน ลาเดน หรือภาพยนตร์ของสหรัฐเรื่องบิน ลาเดน


