ตลาดหุ้นญี่ปุ่นร้อนแรงรับนายกใหม่ จับตาปัจจัยกดดันหุ้นสหรัฐ
ดัชนีนิกเกอิของญี่ปุ่นทะลุ 50,000 จุดครั้งแรก ท่ามกลางความคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ขณะตลาดหุ้นสหรัฐยังเผชิญหลายปัจจัยกดดัน
KEY
POINTS
- ดัชนีหุ้นนิกเกอิของญี่ปุ่นพุ่งทะลุ 50,000 จุดเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ขานรับความคาดหวังต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่
- นักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำลังจับตาการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่
- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังเผชิญปัจจัยกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมือง เช่น ภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลที่ยืดเยื้อ และความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน
ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดการซื้อขายวันจันทร์ด้วยความคึกคัก ดัชนีหุ้นนิกเกอิ 225 พุ่งทะลุระดับ 50,000 จุดเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ว่ารัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีซานาเอะ ทาคาอิชิ จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่
ณ เวลา 07.40 น.ตามเวลาในประเทศไทย ดัชนีนิกเกอิ 225 อยู่ที่ระดับ 50,367.38 จุด เพิ่มขึ้น 2.17% จากวันก่อนหน้า ส่งผลให้มูลค่าตลาดโดยรวมปรับตัวขึ้นแล้วกว่า 25.8% ตั้งแต่ต้นปี ขณะที่ดัชนี Topix ซึ่งสะท้อนภาพรวมของตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปรับเพิ่มขึ้น 1.72% สู่ระดับ 3,325.82 จุด
นายฮิโรยูกิ อูเอโนะ หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนจากบริษัท Sumitomo Mitsui Trust Asset Management ระบุว่า
“แรงหนุนของตลาดหุ้นญี่ปุ่นมาจากความเชื่อมั่นต่อนโยบายเน้นการเติบโตของรัฐบาลทาคาอิชิ นักลงทุนยังคงเข้าซื้อหุ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ราคาจะปรับลดชั่วคราวหลังการเลือกตั้ง แต่แรงขายกลับไม่ยืดเยื้อ เพราะผู้ลงทุนที่พลาดโอกาสก่อนหน้านี้เข้าซื้อทันทีเมื่อราคาลดลง”
ดัชนีนิกเกอิเคยขึ้นไปแตะระดับใกล้ 50,000 จุดเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา หลังนางทาคาอิชิผ่านการลงมติในสภาเพื่อขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดสัปดาห์ด้วยการปรับตัวขึ้น 3.6% หลังจากเธอประกาศนโยบายการใช้จ่ายเชิงรุก พร้อมเตรียมเปิดตัวมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 13.9 ล้านล้านเยน (ประมาณ 92,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
นางทาคาอิชิมีกำหนดพบปะอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ในวันจันทร์ และจะจัดการประชุมสุดยอดร่วมกันในวันอังคาร หลังจากทั้งสองได้สนทนาทางโทรศัพท์เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จับตาการประชุมเฟดและผลประกอบการบริษัทยักษ์ใหญ่
ในสหรัฐอเมริกา ตลาดหุ้นกำลังเผชิญสัปดาห์สำคัญที่อาจกำหนดทิศทางปลายปี โดยนักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทขนาดใหญ่ รวมถึงการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งคาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% จากระดับปัจจุบันที่ 4.00–4.25% หลังข้อมูลเงินเฟ้อออกมาต่ำกว่าคาดการณ์
ดัชนี S&P 500 ปิดตลาดสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยเพิ่มขึ้นกว่า 36% จากจุดต่ำสุดในเดือนเมษายน และปรับตัวขึ้นแล้วกว่า 15% นับตั้งแต่ต้นปี แม้จะมีความผันผวนเพิ่มขึ้นในเดือนตุลาคม
ข้อมูลจาก LSEG IBES ระบุว่า จากบริษัทในดัชนี S&P 500 ที่รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 แล้ว 143 แห่ง กำไรโดยรวมเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดย 87% ของบริษัททำกำไรเกินคาด และ 82% มีรายได้สูงกว่าประมาณการ ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต
สัปดาห์นี้จะเป็นช่วงที่มีการรายงานผลประกอบการมากที่สุดของฤดูกาล โดยบริษัทยักษ์ใหญ่ในกลุ่ม “Magnificent Seven” ได้แก่ Microsoft, Apple, Alphabet, Amazon และ Meta Platforms จะเปิดเผยผลการดำเนินงาน ซึ่งคาดว่าจะมีผลอย่างมากต่อทิศทางตลาด
อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนยังคงกดดันตลาดจากหลายปัจจัย ทั้งความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่อาจปะทุขึ้นอีกครั้ง รวมถึงภาวะ “ชัตดาวน์” ของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งยืดเยื้อมาตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ส่งผลให้การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหลายรายการต้องล่าช้า
นายอาร์ต โฮแกน หัวหน้านักกลยุทธ์จาก B. Riley Wealth เตือนว่า การปิดหน่วยงานรัฐที่ยาวนานกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายของปี ขณะที่นักลงทุนยังคงติดตามอย่างใกล้ชิดการประชุมระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ และนายสี จิ้นผิง ที่จะมีขึ้นในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งอาจเป็นจุดเปลี่ยนของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองชาติมหาอำนาจ.


