สหรัฐ ประกาศพร้อมประกันความมั่นคงยูเครน หากมีข้อตกลงสันติภาพ
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แถลงว่า สหรัฐจะค้ำประกันความมั่นคงของยูเครน หากสามารถบรรลุข้อตกลงยุติสงครามกับรัสเซียได้ แม้รายละเอียดของมาตรการดังกล่าวยังไม่ชัดเจน
ทรัมป์ได้เปิดทำเนียบขาวต้อนรับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน พร้อมด้วยผู้นำจากสหภาพยุโรป ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี สหราชอาณาจักร และองค์การนาโต้ เพียงสองวันหลังจากที่เขาพบหารือกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซียที่อลาสกา
การเจรจาและการรับประกันความมั่นคง
ทรัมป์เปิดเผยว่า ได้มีการหารือกับปูตินเพื่อจัดการประชุมระหว่างปูตินและเซเลนสกี โดยมีแผนจะต่อยอดไปสู่การประชุมสุดยอดสามฝ่ายเพื่อหาหนทางยุติสงครามในยูเครน เขากล่าวย้ำว่า “เมื่อพูดถึงเรื่องความมั่นคง จะมีความช่วยเหลืออย่างมาก” พร้อมระบุว่าชาติยุโรปจะเข้ามามีส่วนร่วมด้วย
ด้านเซเลนสกี แสดงความยินดีต่อคำมั่นดังกล่าว โดยเรียกว่าเป็น “ก้าวสำคัญในการเดินต่อข้างหน้า” และเผยว่าการรับประกันความมั่นคงจะถูกทำเป็นเอกสารภายใน 7–10 วันข้างหน้า พร้อมกันนั้น ยูเครนยังได้ยื่นข้อเสนอซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ มูลค่าประมาณ 90,000 ล้านดอลลาร์
ความเห็นจากรัสเซียและยุโรป
แม้เครมลินยังไม่ได้ประกาศท่าทีอย่างเป็นทางการ แต่ที่ปรึกษาอาวุโสของปูตินเปิดเผยว่ามีการหารือถึงการยกระดับตัวแทนจากทั้งสองฝ่ายในการเจรจาโดยตรง ขณะที่แหล่งข่าวรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่าการพบปะระหว่างปูตินและเซเลนสกีอาจมีขึ้นในฮังการีภายในสองสัปดาห์ข้างหน้า
ผู้นำยุโรปที่เดินทางมายังกรุงวอชิงตัน ต่างเรียกร้องให้ทรัมป์กดดันปูตินให้ยอมรับข้อตกลงหยุดยิงก่อนเริ่มเจรจาสันติภาพ แต่ทรัมป์กลับเห็นชอบตามท่าทีของมอสโกว่า ควรผลักดันข้อตกลงที่ครอบคลุมมากกว่า แม้การสู้รบยังดำเนินต่อไป
บรรยากาศการประชุมและความท้าทาย
บรรยากาศการประชุมครั้งนี้ถือว่าเป็นมิตร ต่างจากการพบปะที่ล้มเหลวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยทรัมป์ได้ต้อนรับเซเลนสกีอย่างอบอุ่น และชื่นชมการแต่งกายแบบทางการของผู้นำยูเครน
อย่างไรก็ดี ข้อตกลงสันติภาพยังคงอยู่ห่างไกล เนื่องจากรัสเซียยังยืนยันเงื่อนไขให้ยูเครนสละสิทธิ์ทวงคืนแคว้นไครเมียและยุติความพยายามเข้าร่วมนาโต้ ซึ่งเซเลนสกีแทบไม่ยอมรับข้อเสนอ นอกจากนี้ยังมีข้อเรียกร้องให้จัดประชามติหากจะมีการสละดินแดนใด ๆ
สงครามซึ่งดำเนินมากว่า 3 ปีครึ่งแล้ว ได้คร่าชีวิตและทำให้ผู้คนบาดเจ็บกว่าล้านราย ทั้งจากฝั่งรัสเซียและยูเครน รวมถึงพลเรือนยูเครนจำนวนมาก อีกทั้งยังสร้างความเสียหายต่อพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศอย่างหนัก


