สหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีนำเข้าใหม่ตามประกาศของทรัมป์แล้ว
รัฐบาลสหรัฐ ได้เริ่มเก็บภาษีนำเข้าระหว่างประเทศในอัตราใหม่สูงสุดระหว่าง 10% ถึง 50% กับสินค้าจากประเทศคู่ค้าสำคัญแล้ว ตั้งแต่ 11.01 น. ตามเวลาในประเทศไทย
KEY
POINTS
- สหรัฐฯ เริ่มบังคับใช้มาตรการภาษีนำเข้าใหม่ตามคำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยมีผลตั้งแต่เวลา 00.01 น. ตามเวลาตะวันออกของสหรัฐฯ หรือ 11.01 น.ตามเวลาในไทย
- อัตราภาษีใหม่มีความแตกต่างกันในแต่ละประเทศ โดยบราซิลเผชิญอัตราสูงสุดที่ 50% ขณะที่คู่ค้าสำคัญอย่างสหภาพยุโรปและญี่ปุ่นได้รับการลดหย่อนเหลือ 15%
- อินเดียและจีนอาจเผชิญกับการขึ้นภาษีเพิ่มเติมในอนาคต และคาดว่ามาตรการนี้จะส่งผลให้ราคาสินค้าในสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น
สำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐฯ (CBP) เริ่มต้นจัดเก็บภาษีในอัตราใหม่เมื่อเวลา 00.01 น. ตามเวลาตะวันออกของสหรัฐฯ (หรือ 11.01 น. ตามเวลาไทย) หลังจากหลายสัปดาห์ของความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอัตราภาษีขั้นสุดท้าย และการเจรจาอย่างเข้มข้นกับประเทศคู่ค้า
ทั้งนี้ ตามประกาศของ CBP สินค้าที่ขนส่งมาถึงก่อนเส้นตายเวลากลางคืนสามารถเข้าประเทศภายใต้อัตราภาษีเดิมได้ถึงวันที่ 5 ตุลาคม
ประธานาธิบดีทรัมป์ได้กำหนดอัตราภาษีใหม่ที่หลากหลาย โดยบางประเทศต้องเผชิญกับอัตราภาษีที่สูงมาก ได้แก่:
• บราซิล: 50%
• สวิตเซอร์แลนด์: 39%
• แคนาดา: 35%
• อินเดีย: 25%
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังประกาศขึ้นภาษี 25% แยกต่างหากสำหรับสินค้านำเข้าจากอินเดีย โดยจะมีผลบังคับใช้ในอีก 21 วันข้างหน้า อันเป็นผลจากการที่อินเดียยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซีย
ส่วน แปดประเทศที่มีการค้ากับสหรัฐฯ มากที่สุด (คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 40% ของมูลค่าการค้าทั้งหมด) ได้บรรลุข้อตกลงเบื้องต้นกับสหรัฐฯ ส่งผลให้ได้รับการลดอัตราภาษีพื้นฐาน ดังนี้:
• สหภาพยุโรป, ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้: อัตราใหม่ 15%
• สหราชอาณาจักร: 10%
• เวียดนาม, อินโดนีเซีย, ปากีสถาน และฟิลิปปินส์: 19–20%
วิลเลียม เรนช์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าจากศูนย์เพื่อยุทธศาสตร์และการศึกษาระหว่างประเทศ (CSIS) ระบุว่า การปรับภาษีครั้งนี้อาจส่งผลให้เกิดการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน และทำให้ราคาสินค้าในสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นในระยะยาว แม้อาจใช้เวลาพอสมควรจึงจะเห็นผลชัดเจน
ในทางกลับกัน ประเทศที่ได้รับผลกระทบหนัก เช่น อินเดียและแคนาดา อาจต้องพยายามหาทางปรับตัวและเจรจาแก้ไขสถานการณ์ต่อไป
คำสั่งของทรัมป์ระบุเพิ่มเติมว่า หากพบว่าสินค้าใดมีการเปลี่ยนถิ่นกำเนิดเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี จะถูกเก็บภาษีเพิ่มเติมอีก 40% อย่างไรก็ตาม ขณะนี้รัฐบาลยังไม่มีรายละเอียดชัดเจนเกี่ยวกับวิธีการระบุและบังคับใช้มาตรการดังกล่าว
คำสั่งเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ยังระบุว่ามี 67 ประเทศที่ต้องเสียภาษีเกิน 10% ขณะที่ประเทศอื่น ๆ ยังคงอัตราเดิมที่ 10% ทั้งนี้ มาตรการใหม่นี้ยังครอบคลุมภาษีเฉพาะกลุ่มสินค้าในเชิงความมั่นคง เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ยา ยานยนต์ เหล็ก อลูมิเนียม ทองแดง ไม้ และอื่น ๆ โดยเฉพาะในส่วนของไมโครชิป ทรัมป์ระบุว่าอาจเพิ่มภาษีสูงถึง 100%
ส่วนท่าทีต่อจีน ยังคงมีความตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง หลังจากจีนยังคงอยู่ในกลุ่มประเทศที่เจรจาแยกต่างหาก โดยอาจเผชิญกับการปรับขึ้นภาษีในวันที่ 12 สิงหาคม หากไม่มีการขยายข้อตกลงชั่วคราวเพิ่มเติม ซึ่งก่อนหน้านี้มีการหารือระหว่างสหรัฐฯ และจีนในประเทศสวีเดน
ทรัมป์ยังกล่าวถึงความเป็นไปได้ในการเก็บภาษีเพิ่มจากจีน เนื่องจากจีนยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซีย
แม้ตลาดหุ้นเอเชียจะยังอยู่ในระดับสูงและค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงเพียงเล็กน้อย แต่มาตรการภาษีของทรัมป์ได้ส่งผลกระทบต่อบริษัทชั้นนำหลายแห่ง เช่น Caterpillar, Marriott, Molson Coors และ Yum Brands ซึ่งสูญเสียผลกำไรรวมกันในปี 2025 ราว 15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามการประเมินของ Reuters
ขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ยังเปิดเผยว่า ราคาสินค้าภายในประเทศได้เริ่มปรับตัวสูงขึ้นในเดือนมิถุนายน โดยเฉพาะในกลุ่มเฟอร์นิเจอร์ ของใช้ในบ้าน และยานพาหนะ


