posttoday

"China+1" ยุทธศาสตร์หนุนเวียดนามรุ่งโรจน์ แต่ติดกับดัก "ทรัมป์"

11 กรกฎาคม 2568

กลยุทธ์ย้ายฐานผลิตออกจากจีนทำให้เวียดนามกลายเป็นทำเลทองที่เนื้อหอมสุด ๆ แต่ใครจะคิดว่ากลายเป็นจุดอ่อนที่ทรัมป์หยิบมาเป็นข้ออ้างจุดไฟสงครามการค้าครั้งใหม่

 

สถานการณ์โลกสับสนอลหม่านอีกครั้ง เมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาพร้อมนโยบายสงครามการค้าที่ไร้ทิศทาง

 

และดูเหมือนว่า "เวียดนาม" ผู้ผงาดขึ้นเป็นศูนย์กลางการผลิตแห่งใหม่ของโลก จะกลายเป็นเป้าหมายสำคัญในสมรภูมิการค้าครั้งนี้ที่กำลังสร้างความปั่นป่วนให้กับบริษัทส่งออกทั่วโลกที่พึ่งพิงตลาดสหรัฐฯ

 

"China+1" ยุทธศาสตร์หนุนเวียดนามรุ่งโรจน์ แต่ติดกับดัก "ทรัมป์"

 

"China+1" กลยุทธ์ช่วยเวียดนามผงาด แต่ติดกับดัก "ทรัมป์"

 

ตามรายงานจากสำนักข่าว Bloomberg เป็นเวลากว่า 6 เดือนแล้วที่บรรดาประเทศผู้ส่งออกทั่วโลกต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน นับตั้งแต่ทรัมป์หวนคืนสู่สนามการเมืองพร้อมนโยบายการค้าที่คาดเดาได้ยาก 

 

แต่ท่ามกลางความผันผวนนี้ "เวียดนาม" กลับเป็นหนึ่งในชาติที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด จากเดิมที่เคยเป็นผู้เล่นคนสำคัญที่ได้รับประโยชน์มหาศาลจากยุทธศาสตร์ "China+1" ของบริษัทข้ามชาติ

 

เวียดนาม เป็นชาติอาเซียนที่มีสัดส่วนการส่งออกสูงถึงเกือบ 90% ของ GDP พึ่งพาการค้าอย่างมาก

 

การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ผ่านมาได้ช่วยให้ประชากรกว่า 100 ล้านคนจำนวนมากหลุดพ้นจากความยากจน

 

แรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากความต้องการสินค้า "Made in Vietnam" จากทั่วโลก โดยเฉพาะจากตลาดสหรัฐฯ

 

"China+1" ยุทธศาสตร์หนุนเวียดนามรุ่งโรจน์ แต่ติดกับดัก "ทรัมป์"


 

แรงงานฝีมือ ค่าแรงถูก จุดแข็งที่อาจกลายเป็นจุดอ่อน 

 

อย่างไรก็ตาม ภูมิทัศน์ทางการค้าที่เคยสดใสกำลังพลิกผันอย่างรวดเร็ว ดังที่สารคดีสั้นของ Bloomberg Originals ชี้ให้เห็นว่า

 

แรงงานทักษะสูงและค่าแรงถูกของเวียดนาม ซึ่งเคยเป็นจุดแข็ง อาจกลายเป็นจุดอ่อนจากความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้

 

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การส่งออกของเวียดนามไปยังสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ผู้ผลิตจำนวนมากเริ่มกังวลกับความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ-จีน

 

จึงเริ่มกระจายความเสี่ยงด้วยการย้ายฐานการผลิตมายังประเทศอื่นในภูมิภาค ภายใต้แนวคิด "China+1" 

 

ปัจจุบัน สินค้ากว่าครึ่งหนึ่งของ Nike ผลิตในเวียดนาม ขณะที่แบรนด์ดังอย่าง Lululemon, Gap รวมถึงซัพพลายเออร์รายใหญ่อย่าง Foxconn ต่างก็มีฐานการผลิตสำคัญในประเทศนี้

 

แต่สถานะอันหอมหวานของเวียดนามก็ต้องสะดุดลงอย่างกะทันหันในเดือนเมษายนที่ผ่านมา เมื่อทรัมป์ประกาศใช้มาตรการ "กำแพงภาษีต่างตอบแทน" (Reciprocal Tariffs)

 

โดยพุ่งเป้ามาที่เวียดนามด้วยอัตราภาษีสูงถึง 46% ซึ่งสูงกว่าอัตราที่เรียกเก็บจากญี่ปุ่นและอินเดียเกือบเท่าตัว

 

แม้ว่าข้อตกลงล่าสุดระหว่างสองชาติที่เพิ่งบรรลุผลไปเมื่อเร็วๆ นี้ จะช่วยลดอัตราภาษีดังกล่าวลงมาอยู่ที่ 20% แต่ก็มาพร้อมกับเงื่อนไขสำคัญ 

 

นั่นคือ การเรียกเก็บภาษีในอัตรา 40% สำหรับสินค้าที่ถูกตัดสินว่าเป็นการ "สวมสิทธิ์" (Transshipment) ซึ่งเป็นมาตรการที่มุ่งเป้าสกัดกั้นกลยุทธ์ของบริษัทจีนที่ใช้เวียดนามเป็นทางผ่านเพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษีของสหรัฐฯ

 

"China+1" ยุทธศาสตร์หนุนเวียดนามรุ่งโรจน์ แต่ติดกับดัก "ทรัมป์"

 

ภาคธุรกิจเวียดนามท่ามกลางความไม่แน่นอน

 

ท่ามกลางความผันผวนนี้ ภาคธุรกิจในเวียดนามกำลังตกอยู่ท่ามกลางสมรภูมิที่คาดเดายาก บรรยากาศที่ไม่แน่นอนเช่นนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ลูกค้าต่างชาติหวาดหวั่น

 

แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อการวางแผนธุรกิจในระยะยาว ทำให้ผู้ประกอบการต้องเผชิญกับการปรับตัวครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

คำถามคือ เวียดนามจะรับมือกับคลื่นลมแห่งสงครามการค้าครั้งใหม่นี้ได้อย่างไร และจะยังคงรักษาบทบาท "ดาวรุ่งดวงใหม่" ในเวทีการค้าโลกไว้ได้หรือไม่?

 

ข่าวล่าสุด

วปอ.68 มอบตาข่ายป้องกันโดรน ทิ้งระเบิด และสิ่งของ ช่วยทหารชายแดนภาค 2