เดือดไม่เลิก อิหร่านล้างแค้นยิงมิสไซส์ถล่มฐานทัพสหรัฐในกาตาร์
อิหร่านยิงขีปนาวุธถล่มฐานทัพสหรัฐฯ ในกาตาร์ ตอบโต้การทิ้งระเบิดใส่โรงงานนิวเคลียร์ ทรัมป์ชี้เป็น “การตอบโต้ที่อ่อนแอ” พร้อมเรียกร้องสันติภาพ
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา อิหร่านได้ยิงขีปนาวุธโจมตีฐานทัพอากาศอัลอูเดด (Al Udeid Air Base) ของสหรัฐฯ ในประเทศกาตาร์ แต่ไม่เกิดความเสียหายรุนแรงหรือมีผู้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้แสดงท่าทีลดระดับความตึงเครียด พร้อมเรียกร้องให้อิหร่านและอิสราเอลยุติความรุนแรงและหันหน้าสู่สันติภาพ หลังเหตุการณ์ปะทะกันต่อเนื่องเป็นเวลา 11 วัน
ความขัดแย้งเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน หลังจากอิสราเอลโจมตีโครงการนิวเคลียร์และขีปนาวุธของอิหร่าน โดยต่อมา สหรัฐฯ ได้ร่วมโจมตีเป้าหมายใต้ดินของอิหร่านด้วยระเบิดเจาะเกราะหนัก 30,000 ปอนด์ จนนำไปสู่คำขู่ของอิหร่านว่าจะตอบโต้ในวงกว้าง
อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่านกล่าวว่า “อิหร่านไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มโจมตี และจะไม่ยอมรับการถูกรุกรานจากใครทั้งสิ้น” พร้อมย้ำว่า อิหร่านได้แจ้งเตือนล่วงหน้าต่อสหรัฐฯ และกาตาร์ผ่านช่องทางการทูตก่อนการโจมตี ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ได้ขอบคุณอิหร่านสำหรับการแจ้งเตือนนี้ โดยมองว่าเป็นสัญญาณบวก
ทรัมป์โพสต์ข้อความผ่าน Truth Social ว่า “ไม่มีผู้เสียชีวิต ไม่มีผู้บาดเจ็บ และมีความเสียหายน้อยมาก” พร้อมเรียกการยิงขีปนาวุธ 14 ลูกของอิหร่านว่า “การตอบโต้ที่อ่อนแอและเป็นสิ่งที่เราคาดไว้แล้ว”
อิสราเอลตอบโต้ด้วยปฏิบัติการทางอากาศครั้งใหญ่ที่สุดในกรุงเตหะราน
ในวันเดียวกัน อิสราเอลได้เปิดฉากโจมตีอย่างรุนแรงต่อเป้าหมายในกรุงเตหะราน รวมถึงเรือนจำเอวิน (Evin Prison) ซึ่งเป็นสถานที่คุมขังนักโทษการเมืองและผู้ต้องสงสัยด้านจารกรรม โดยถือเป็นการส่งสัญญาณว่าทางการอิสราเอลพร้อมโจมตีโครงสร้างหลักของระบอบปกครองอิหร่าน
รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอลเปิดเผยว่า เป้าหมายของการโจมตีในครั้งนี้คือ “ศูนย์กลางอำนาจของรัฐบาลและกลไกการปราบปราม” ของอิหร่าน ขณะเดียวกัน ประชาชนในกรุงเตหะรานจำนวนมากกว่า 10 ล้านคนพากันอพยพออกนอกเมืองท่ามกลางความหวาดกลัวจากการโจมตีต่อเนื่อง
ความสัมพันธ์ในภูมิภาคสั่นคลอน อาหรับประณามอิหร่าน ขณะรัสเซียจับตาใกล้ชิด
การโจมตีฐานทัพในกาตาร์ส่งผลให้ประเทศอาหรับหลายแห่ง ได้แก่ กาตาร์ บาห์เรน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย คูเวต และอิรัก ออกแถลงการณ์ประณามอิหร่านอย่างรุนแรง ขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่านได้เดินทางไปพบปะกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย เพื่อขอการสนับสนุนทางการทูตในการเผชิญหน้ากับชาติตะวันตก
ด้านสื่อของอิหร่านรายงานว่า มีการเร่งช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจากซากอาคารที่ถูกทำลาย และเร่งรักษาความปลอดภัยในเรือนจำเอวิน ซึ่งมีผู้ต้องขังต่างชาติรวมอยู่ด้วย
ความมั่นคงทางการบินปั่นป่วน เที่ยวบินยกเลิก-เบี่ยงเส้นทางทั่วภูมิภาค
ภายหลังการโจมตีดังกล่าว ประเทศในตะวันออกกลางหลายแห่งได้สั่งปิดน่านฟ้าชั่วคราว ส่งผลให้สายการบินจำนวนมากต้องยกเลิกหรือเปลี่ยนเส้นทางบิน โดยเฉพาะสายการบิน Qatar Airways และ Etihad Airways ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรง
บริษัท Cirium ซึ่งวิเคราะห์ข้อมูลการบินรายงานว่า เที่ยวบินกว่า 24 เที่ยว ถูกเบี่ยงเส้นทางในวันจันทร์ ขณะที่ Kuwait Airways ระงับการเดินทางทั้งหมดในประเทศ และ Etihad ปรับตารางบินตลอดวันจันทร์และอังคาร
นอกจากนี้ ความขัดแย้งที่กระจายไปยังหลายภูมิภาคยังเพิ่มความเสี่ยงต่อสายการบินพาณิชย์ โดยเฉพาะการโจมตีทางอากาศและการแทรกแซงสัญญาณ GPS ซึ่งทำให้เครื่องบินบางลำออกนอกเส้นทาง บริษัท SkAI จากสวิตเซอร์แลนด์เผยว่า ภายในเวลา 24 ชั่วโมง มีเครื่องบินพาณิชย์กว่า 150 ลำถูก “สปูฟ” พิกัดเหนืออ่าวเปอร์เซีย
สถานการณ์เสี่ยงลุกลามสู่สงครามเต็มรูปแบบ
ในขณะที่อิหร่านยังคงข่มขู่ว่าจะตอบโต้เพิ่มเติมหากถูกรุกรานต่อเนื่อง นักวิเคราะห์ด้านการทูตชี้ว่า ผู้นำสูงสุดของอิหร่านอาจมองว่าการหลีกเลี่ยงความสูญเสียต่อพลเมืองสหรัฐฯ อาจเป็นโอกาสในการยุติความขัดแย้ง พร้อมคงเสถียรภาพของระบอบปกครองต่อไป
แหล่งข่าวระดับสูงเผยว่า ขณะนี้มีการเตรียมการหาผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำสูงสุดของอิหร่าน โดยบุคคลสำคัญที่ถูกจับตามองคือ โมจตาบา คาเมเนอี บุตรชายวัย 56 ปีของผู้นำสูงสุด และฮัสซัน โคเมนี หลานชายของอายาตอลเลาะห์ รูฮุลเลาะห์ โคเมนี ผู้ก่อตั้งสาธารณรัฐอิสลาม