มหาเศรษฐี อีลอน มัสก์ กลับลำ ยอมง้อทรัมป์หลังถูกกดดันหนัก
มัสก์ยอมยกธงสงครามน้ำลายผ่านโซเชียลกับทรัมป์ หลังทำเนียบขาว “จัดหนัก” — จากปะทะคารม สู่ท่าทีอ่อนลงเพื่อรักษาธุรกิจ
อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเจ้าของ Tesla และ SpaceX กลับลำจากการโจมตีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลังได้รับการติดต่อ “อย่างใกล้ชิด” จากเจ้าหน้าที่ระดับสูงในทำเนียบขาว รวมถึงรองประธานาธิบดี เจ.ดี. แวนซ์ โดยมัสก์โพสต์ในวันพุธว่า เขา “อาจไปไกลเกินไป”
ก่อนหน้านี้ มัสก์ใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของตัวเองเปิดศึกกับทรัมป์อย่างถึงพริกถึงขิง โดยเรียกกฎหมายภาษีและงบประมาณของฝ่ายบริหารทรัมป์ว่าเป็น “ขยะประหลาดที่น่ารังเกียจ” และ “แพงเกินจะรับได้” ท่ามกลางการตอบโต้ของทั้งสองฝ่ายจนถึงขั้นที่มัสก์เคยขู่จะตั้งพรรคการเมืองใหม่ และเรียกร้องให้ทรัมป์ถูกถอดถอนจากตำแหน่ง
แม้มัสก์จะยอมลบโพสต์บางส่วน รวมถึงโพสต์ที่สนับสนุนให้ถอดถอนทรัมป์ แต่เขาก็ยังไม่ล้มเลิกคำวิจารณ์เกี่ยวกับกฎหมายงบประมาณที่เขามองว่า “บานปลายไร้เหตุผล”
มิตรภาพนักธุรกิจ-นักการเมือง: เสี่ยงต่อผลประโยชน์ที่บอบบาง
ความร้าวฉานนี้ทำให้เกิดความกังวลในหมู่นักลงทุน โดยเฉพาะต่ออาณาจักรธุรกิจของมัสก์ ซึ่งพึ่งพาความร่วมมือกับรัฐบาลอย่างสูง ทั้งในด้านโครงการอวกาศ SpaceX เครือข่ายดาวเทียม Starlink และแน่นอน ธุรกิจยานยนต์ Tesla ที่ยังอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานรัฐบาล
นักการเมืองและผู้ใกล้ชิดกับทรัมป์จำนวนหนึ่ง รวมถึง Susie Wiles หัวหน้าคณะทำงานในทำเนียบขาว และ David Sacks ซึ่งเป็นทั้งที่ปรึกษานโยบายคริปโตและเพื่อนส่วนตัวของมัสก์ ต่างพยายาม “เชื่อมสะพาน” ให้ทั้งสองกลับมาคืนดี ตามคำบอกเล่าของแหล่งข่าววงใน
เมื่อวันจันทร์ มัสก์ได้พูดคุยกับทรัมป์โดยตรง และในวันพุธ โฆษกประจำทำเนียบขาว Karoline Leavitt ระบุว่าทรัมป์ “ยินดี” กับคำขอโทษของมัสก์ อย่างไรก็ดี ยังไม่มีสัญญาณว่ารัฐบาลกำลังทบทวนสัญญาที่ทำไว้กับบริษัทของมัสก์ แม้ก่อนหน้านี้ทรัมป์เคยขู่จะยกเลิกหากความขัดแย้งยังดำเนินต่อ
เทสลายังไม่ฟื้นเต็มที่ — ธุรกิจต้องมาก่อนอีโก้?
หุ้นของ Tesla ร่วงลงเล็กน้อยในวันพุธ แม้จะฟื้นตัวจากผลกระทบของดราม่าก่อนหน้า แต่ในภาพรวมของปี หุ้นยังคงลดลงกว่า 19% คิดเป็นมูลค่าตลาดที่หายไปราว 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ยอดขายรถยนต์ของ Tesla ในตลาดหลักอย่างยุโรป จีน และแม้แต่รัฐแคลิฟอร์เนียในสหรัฐฯ ต่างชะลอตัวลง โดยนักวิเคราะห์ชี้ว่าส่วนหนึ่งเป็นผลจากท่าทีการเมืองขวาจัดของมัสก์ที่ทำให้ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยเริ่มลังเล
“น้ำเสียงประนีประนอมของมัสก์เมื่อเร็ว ๆ นี้ อาจสะท้อนถึงความจำเป็นที่เขาต้อง ‘เซฟธุรกิจ’ ของตนเอง ท่ามกลางสถานการณ์ที่เขาเป็นผู้ผลักดันเสียเอง” Mamta Valechha นักวิเคราะห์การลงทุนจาก Quilter Cheviot กล่าว
ขณะที่ Shawn Campbell นักลงทุนจาก Camelthorn Investments มองว่า “ความสัมพันธ์นี้อาจยังกลับมาได้ แต่อาจไม่มีวันกลับไปเหมือนเดิม เพราะเมื่อคุณนำคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกมาปะทะกับผู้นำประเทศที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก มันย่อมไม่ใช่เรื่องเล็ก ทั้งในแง่เม็ดเงิน สัญญา และการควบคุมทางนโยบาย”
คืนดีเพื่ออนาคต หรือคืนดีเพราะจำเป็น?
มัสก์เคยอ้างเครดิตว่า เงินทุนกว่า 300 ล้านดอลลาร์ที่เขาสนับสนุนพรรครีพับลิกันในปี 2024 คือกุญแจสำคัญที่ช่วยให้พรรคกลับมาครองทำเนียบขาวและครองเสียงข้างมากในสภาทั้งสอง ทรัมป์จึงตอบแทนด้วยการแต่งตั้งเขาให้เป็นผู้นำแผนลดขนาดราชการ ก่อนที่มัสก์จะถอนตัวจากบทบาทดังกล่าวเมื่อเดือนที่แล้ว
ความสัมพันธ์ที่กลับมาเหมือนจะดีของทั้งคู่ในวันนี้ จึงอาจไม่ได้สะท้อนความสมัครใจเสียทีเดียว แต่เป็นภาพสะท้อนของเกมอำนาจ ทุน และผลประโยชน์ ที่แม้แต่มหาเศรษฐีผู้มีอีโก้ล้นฟ้าอย่างมัสก์ ก็ยังต้อง “หันกลับลำ” เพื่อความอยู่รอดของอาณาจักรของตัวเอง


