สหรัฐฯ - จีน เตรียมหารือการค้ารอบใหม่ ณ กรุงลอนดอนในวันจันทร์นี้
ผู้แทนระดับสูงจากรัฐบาลสหรัฐฯ เตรียมพบคู่เจรจาจากจีนในวันจันทร์นี้ ที่กรุงลอนดอน เพื่อหารือข้อพิพาททางการค้าที่สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลก
โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เปิดเผยผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social ว่า นายสก็อตต์ เบสเซนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, นายโฮเวิร์ด ลัทนิก รัฐมนตรีพาณิชย์ และนายเจมิสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ จะเป็นตัวแทนของรัฐบาลวอชิงตันในการเจรจาครั้งนี้ อย่างไรก็ตามยังไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้แทนจากฝ่ายจีน ขณะที่สถานเอกอัครราชทูตจีนในกรุงวอชิงตันยังไม่ตอบกลับคำขอให้แสดงความคิดเห็นในขณะนี้
“การประชุมครั้งนี้น่าจะเป็นไปด้วยดี” ทรัมป์กล่าว
การนัดหมายหารือครั้งนี้มีขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ซึ่งนับเป็นการติดต่อระหว่างผู้นำสองประเทศที่หาได้ยากในช่วงที่มีความตึงเครียดทางการค้า โดยทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะเยือนประเทศของกันและกันในอนาคต พร้อมมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการจัดการเจรจาในช่วงระหว่างนี้
ทั้งสองประเทศกำลังเผชิญแรงกดดันในการคลี่คลายความตึงเครียด โดยเฉพาะในประเด็นการควบคุมการส่งออกแร่หายาก ซึ่งจีนถือเป็นผู้ผลิตหลักของโลก ในขณะที่สหรัฐฯ กำลังจำกัดการส่งออกซอฟต์แวร์ออกแบบชิปและชิ้นส่วนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไปยังจีน
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ณ กรุงเจนีวา ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงชั่วคราวเป็นเวลา 90 วัน เพื่อยกเลิกภาษีศุลกากรตอบโต้ระหว่างกันบางส่วน ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกรับข่าวด้วยความโล่งใจ โดยดัชนี S&P 500 ที่เคยตกลงมาเกือบ 18% ในช่วงต้นเดือนเมษายนกลับมาฟื้นตัวและอยู่ห่างจากจุดสูงสุดเพียง 2% เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงเบื้องต้นนี้ยังไม่ได้ครอบคลุมประเด็นอื่น ๆ ที่ซับซ้อน เช่น ปัญหายาเฟนทานิลผิดกฎหมาย สถานะของไต้หวัน หรือข้อร้องเรียนของสหรัฐฯ เกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจที่เน้นการส่งออกภายใต้การควบคุมของรัฐในจีน
รัฐบาลปักกิ่งมองว่าการส่งออกแร่หายากเป็นเครื่องมือทางการเมือง หากระงับการส่งออกอาจสร้างแรงกดดันภายในประเทศต่อทรัมป์ได้ หากเศรษฐกิจชะลอตัวเนื่องจากอุตสาหกรรมต่าง ๆ ไม่สามารถผลิตสินค้าได้
ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ยังถือว่าจีนเป็นคู่แข่งทางภูมิรัฐศาสตร์อันดับหนึ่ง และเป็นประเทศเดียวที่มีศักยภาพในการท้าทายอำนาจของสหรัฐฯ ทั้งด้านเศรษฐกิจและการทหารในระยะยาว


