ทูต EU-อินโด จี้ ASEAN สร้างกลไกแก้ขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา
หลังเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ทูต EU - อินโดนีเซีย พร้อมใจเรียกร้องให้ ASEAN เสริมกลไกจัดการความขัดแย้งภายในภูมิภาค ชี้เป็นหัวใจสำคัญป้องกันไม่ให้สถานการณ์บานปลาย
ภายหลังเหตุปะทะรุนแรงบริเวณชายแดนระหว่างทหารกัมพูชาและไทย นักการทูตระดับสูงจากสหภาพยุโรป (EU) และอินโดนีเซียได้ออกมากระตุ้นให้อาเซียน (ASEAN) เร่งเสริมสร้างกลไกแก้ไขข้อพิพาทในภูมิภาคให้แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เพราะเป็นหัวใจสำคัญในการป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งระหว่างประเทศสมาชิกบานปลายในอนาคต
เหตุการณ์ปะทะกันระหว่างกองกำลังทหารกัมพูชาและไทยในพื้นที่ชายแดนมอมเบย (Mom Bei) ซึ่งเป็นประเด็นพิพาทระหว่างสองประเทศ เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา
ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความตึงเครียดและสถานการณ์ที่ยังคงดำเนินอยู่ โดยการปะทะครั้งนี้ส่งผลให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิตหนึ่งนาย
แม้กองทัพทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวหากันว่าเป็นฝ่ายเริ่มยิง แต่กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชายืนกรานว่าจุดเกิดเหตุอยู่ในพื้นที่ควบคุมทางทหารของกัมพูชา และเรียกร้องให้รัฐบาลไทยเร่งสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างละเอียด
ขณะเดียวกัน สมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ประกาศอย่างชัดเจนว่ากัมพูชาจะนำคดีนี้ขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) โดยไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากไทย
ข้อเสนอครั้งสำคัญนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากสมัชชาแห่งชาติและวุฒิสภา ในการประชุมรัฐสภาร่วมครั้งแรกเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
ในวันเดียวกันนั้นเอง สมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้กล่าวเตือนต่อที่ประชุมร่วมวุฒิสภาและรัฐสภาว่า
หากข้อพิพาทเขตแดนระหว่างกัมพูชาและไทยไม่สามารถแก้ไขได้ผ่านศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) สถานการณ์อาจบานปลายจนเลวร้ายไม่ต่างจาก "ฉนวนกาซา" ซึ่งปาเลสไตน์และอิสราเอลต้องเผชิญกับความขัดแย้งที่ไม่มีวันสิ้นสุด
มุมมองจากสหภาพยุโรป: บทเรียนจากบูรณาการเพื่อสันติภาพ
อิกอร์ เดรสแมนส์ เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปประจำกัมพูชา ให้สัมภาษณ์กับสื่อ Khmer Times ในฐานะนักการทูตและผู้สังเกตการณ์ภายนอก
โดยแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของทหารกัมพูชาที่เสียชีวิตจากการปะทะ พร้อมชื่นชมการดำเนินการตามมาตรการลดความตึงเครียดที่ตกลงร่วมกันระหว่างสองประเทศอย่างรวดเร็ว
"ในสถานการณ์เช่นนี้ เราขอสนับสนุนให้กัมพูชาและไทยเร่งเจรจาทวิภาคีในประเด็นที่ยังค้างคาเกี่ยวกับการปักปันเขตแดน และวางแผนรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อหลีกเลี่ยงโศกนาฏกรรมที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต"
เอกอัครราชทูตเน้นย้ำว่า สหภาพยุโรปไม่ได้นำเสนอตัวเองเป็นต้นแบบให้อาเซียน แต่ได้เสนอประสบการณ์อันยาวนานของการรวมกลุ่มในภูมิภาคเป็นตัวอย่างว่า ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเมืองสามารถนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืนได้
"ตลอดระยะเวลา 75 ปี การรวมกลุ่มอย่างใกล้ชิดของสหภาพยุโรปได้นำมาซึ่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข โดยไม่มีประเทศสมาชิกใดทำสงครามกับอีกฝ่ายเลยในช่วงเวลานี้ เราเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่ารูปแบบความสำเร็จเดียวกันนี้จะเกิดขึ้นกับประชาคมอาเซียนเช่นกัน" - ท่านเอกอัครราชทูตเดรสแมนส์เน้นย้ำ
แม้ว่ากัมพูชาและไทยจะเคยเผชิญกับประวัติศาสตร์ความขัดแย้งและการนองเลือดที่ยากลำบาก คล้ายคลึงกับหลายประเทศสมาชิกในสหภาพยุโรป
แต่ทั้งสองประเทศต่างก็มีความปรารถนาร่วมกันเพื่อสร้างสันติภาพ ความเจริญรุ่งเรือง และการเป็นศูนย์กลางของอาเซียน สิ่งเหล่านี้คือรากฐานอันแข็งแกร่งที่นำไปสู่การแก้ไขข้อพิพาทอย่างสันติในปัจจุบัน
เอกอัครราชทูตเดรสแมนส์ ยืนยันถึงความเชื่อมั่นอันแน่วแน่ของสหภาพยุโรปในศักยภาพของการรวมกลุ่มระดับภูมิภาค ที่จะช่วยส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
"กว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา สหภาพยุโรปได้ให้การสนับสนุนอาเซียนในการลดกำแพงการค้าภายใน และยึดมั่นในหลักการความเป็นศูนย์กลางของอาเซียน ซึ่งมีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างอำนาจอธิปไตยของทุกประเทศในภูมิภาค"
"เราตั้งใจที่จะสานต่อความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสหภาพยุโรป-อาเซียน เพื่อธำรงไว้ซึ่งสันติภาพในทั้งสองภูมิภาคของเรา"
มุมมองจากอินโดนีเซีย: ภูมิปัญญาอาเซียน หาทางออกร่วมกัน
ในระหว่างการสัมภาษณ์พิเศษกับ Khmer Times ซานโต ดาร์โมซูมาร์โต เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประจำกัมพูชา ได้ให้มุมมองว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือการที่ประเทศที่เกี่ยวข้องสามารถเอาชนะความท้าทายต่าง ๆ ได้ด้วยวิธีที่ สันติและสร้างสรรค์
ในฐานะประชาคมอาเซียน เราสามารถร่วมมือและสนับสนุนกัน เพื่อธำรงรักษาสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาค ไว้ได้อย่างต่อเนื่อง
เขากล่าวเสริมว่า แต่ละความท้าทายที่สมาชิกอาเซียนเผชิญนั้นมีความเฉพาะตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน จึงจำเป็นต้องมีแนวทางแก้ไขที่แตกต่างกัน
แม้ว่าการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีควรเป็นหัวใจสำคัญ แต่ไม่สามารถใช้ประสบการณ์เดิมเพื่อแก้ปัญหาในสถานการณ์ที่แตกต่างกันได้
“ดังที่ สมเด็จฯ ฮุน เซน ได้กล่าวไว้ที่สถาบัน ERIA School of Government กรุงจาการ์ตาเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านี้ ภูมิปัญญาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีมากเพียงพอที่จะช่วยให้ประเทศสมาชิกแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ร่วมกันได้ รวมถึงปัญหาด้านความมั่นคง”
ท่านยังกล่าวเสริมว่า "เราได้ทุ่มเทอย่างมากในการสร้างประชาคมอาเซียนตลอดหลายปีที่ผ่านมา และได้เผชิญความท้าทายที่ยากลำบากมากมายร่วมกัน ผมเชื่อว่าเรามีความสามารถเกินพอที่จะหาวิธีรักษาความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอาเซียนในฐานะครอบครัว"
ประวัติความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา: กรณีปราสาทพระวิหาร
ก่อนเหตุปะทะเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา ความขัดแย้งทางทหารครั้งสำคัญครั้งสุดท้ายระหว่างไทยและกัมพูชาเกิดขึ้นระหว่างปี 2551 ถึง 2554 โดยมี ปราสาทพระวิหาร แหล่งมรดกโลกของยูเนสโกที่ตั้งอยู่ใกล้กับพื้นที่ชายแดนที่มีข้อพิพาทเป็นจุดศูนย์กลาง
การปะทะและสถานการณ์ตึงเครียด (2551-2554)
- ปี 2551: การปะทะกันเริ่มต้นขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงตุลาคม ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตทั้งสองฝ่าย
- ปี 2553-2554: ความตึงเครียดทวีความรุนแรงขึ้นเป็นการยิงปืนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน เดือนกุมภาพันธ์ 2554 การสู้รบอย่างหนักทำให้มีผู้บาดเจ็บหลายสิบคนและเสียชีวิตหลายราย นอกจากนี้ ยังส่งผลให้ประชาชนหลายพันคนต้องอพยพออกจากพื้นที่
คำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)
เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญ:
- ปี 2554: ศาล ICJ ได้ออกคำสั่งให้ทั้งสองฝ่ายถอนกำลังทหารออกจากเขตปลอดทหารรอบปราสาทพระวิหาร
- ปี 2556: ศาล ICJ มีคำตัดสินขั้นสุดท้าย ยืนยันว่าพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา คำตัดสินนี้ช่วยลดความตึงเครียดลงได้อย่างมาก
สถานการณ์ปัจจุบันชายแดนไทย-กัมพูชา
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ชายแดนโดยรวมยังคง สงบสุข แม้จะมีเหตุการณ์เล็กน้อยหรือการเผชิญหน้าระหว่างการลาดตระเวนเกิดขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว
ที่มา สำนักข่าว Khmer TImes


