คืนชีพ "อัลคาทราซ" ทรัมป์สั่งเปิดคุกในตำนาน ขังนักโทษตัวเอ้
"อัลคาทราซ" คุกในตำนาน เตรียมฟื้นคืนชีพ! ทรัมป์สั่งเตรียมฟื้นฟูพร้อมขยายพื้นที่ ขังอาชญากรระดับหัวโจก หลังปิดไปนานกว่า 60 ปี
เรื่องราวการฟื้นคืนชีพของเรือนจำในตำนานอย่าง "อัลคาทราซ (Alcatraz)" กำลังถูกจุดประกายขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อสำนักข่าว Reuters รายงานว่า
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาประกาศคำสั่งถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อวันอาทิตย์ให้เตรียมการฟื้นฟูและเปิดใช้งานเรือนจำที่ตั้งอยู่กลางอ่าวซานฟรานซิสโกแห่งนี้
โดยให้เหตุผลว่าต้องการใช้เป็นสถานที่ "คุมขังผู้กระทำความผิดที่เหี้ยมโหดและรุนแรงที่สุดของอเมริกา"
คำสั่งดังกล่าวถูกเผยแพร่ผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social ส่วนตัวของเขา ซึ่งทรัมป์ได้โพสต์ข้อความเน้นย้ำไว้อย่างชัดเจนว่า "สร้างใหม่ และเปิดอัลคาทราซ!" พร้อมให้เหตุผลประกอบว่า
"ในอดีต สหรัฐฯ ดำเนินการทุกอย่างด้วยความรอบคอบและจริงจัง เพื่อความมั่นคงและความเจริญรุ่งเรืองของชาติและสังคม"
"เราไม่เคยลังเลที่จะกักขังอาชญากรที่โหดเหี้ยมและอันตรายที่สุด เราต้องแยกพวกเขาออกไปให้ห่างไกลจากสังคมที่พวกเขาอาจลุกมาทำร้ายเราอีกเมื่อไหร่ก็ได้"
อัลคาทราซ หรือที่รู้จักกันในชื่อ "เดอะ ร็อก" เคยเป็นเรือนจำกลางความมั่นคงสูงสุดของสหรัฐฯ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะที่คุมขังอาชญากรระดับหัวโจกมากมาย รวมถึงเจ้าพ่อมาเฟียชื่อก้องโลกอย่าง อัล คาโปน
อัลคาทราซถูกปิดตัวลงในปี 1963 ด้วยเหตุผลบางประการ และปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นอุทยานแห่งชาติและแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมประจำเมืองซานฟรานซิสโกไปแล้ว
ในโพสต์เดียวกันนี้ ทรัมป์ยังได้เจาะจงถึงหน่วยงานที่ต้องรับคำสั่งนี้โดยตรง ได้แก่ สำนักทัณฑปฏิบัติการแห่งสหพันธรัฐ (Federal Bureau of Prisons)
ซึ่งจะต้องทำงานร่วมกับกระทรวงยุติธรรม, FBI และกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ เพื่อ "เปิดทำการเรือนจำอัลคาทราซพร้อมขยายพื้นที่อีกครั้ง"
ต่อมา ขณะเดินทางกลับทำเนียบขาวจากรัฐฟลอริดา ทรัมป์ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวคิดนี้ โดยอธิบายว่าเป็น "เพียงความคิดของผม" และตัดสินใจเดินหน้าแล้ว พร้อมย้ำว่าเป็น "สัญลักษณ์ของกฎหมายและความสงบเรียบร้อย"
ในอดีต อัลคาทราซขึ้นชื่อลือชาในเรื่องความยากในการหลบหนี ด้วยที่ตั้งบนเกาะซึ่งถูกล้อมรอบด้วยน้ำทะเลเย็นจัดและกระแสน้ำเชี่ยว จนได้รับฉายาว่าเป็นเรือนจำที่มีระบบรักษาความปลอดภัยแน่นหนาที่สุดในอเมริกาอย่างแท้จริง
ทั้งยังไม่เคยมีรายงานอย่างเป็นทางการว่ามีนักโทษคนใดหลบหนีสำเร็จ แต่มีเพียง 5 รายที่ถูกบันทึกว่า "หายสาบสูญและคาดว่าจมน้ำเสียชีวิต" ระหว่างพยายามหลบหนีออกจากอัลคาทราซ
อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังการปิดตัวของ “อัลคาทราซ” ในปี 1963 นั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับประเด็นเรื่องความปลอดภัย แต่กลับเป็นต้นทุนในการดำเนินงานที่สูงลิ่ว
ตามข้อมูลจากเว็บไซต์ของสำนักทัณฑปฏิบัติการแห่งสหพันธรัฐ (BOP) ระบุว่า การดำเนินงานของอัลคาทราซนั้นมีค่าใช้จ่ายสูงมาก ด้วยภูมิประเทศของเรือนจำที่ตั้งอยู่บนเกาะ ทำให้ค่าใช้จ่ายในการดูแลนักโทษหนึ่งคนสูงกว่าเรือนจำกลางอื่นๆ เกือบสามเท่า
ทั้งนี้ ท่าทีดังกล่าวของทรัมป์กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาตอบโต้อย่างรวดเร็วจากฝ่ายตรงข้ามทันที
โดย แนนซี เพโลซี อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร และนักการเมืองพรรคเดโมแครตจากรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้ออกมาแสดงความเห็นลดทอนความสำคัญของแนวคิดนี้อย่างชัดเจนผ่านโพสต์บนแพลตฟอร์ม X
เธอกล่าวว่า "อัลคาทราซปิดตัวลงในฐานะทัณฑสถานกลางเมื่อกว่าหกสิบปีที่แล้ว ปัจจุบันที่นี่คืออุทยานแห่งชาติที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักและได้รับความนิยมอย่างมาก ข้อเสนอของทรัมป์จึงไม่ใช่เรื่องที่ควรหยิบยกมาเป็นประเด็นจริงจัง"


