จีนมั่นใจรับมือสงครามการค้าได้ หลังตัวเลข GDP ไตรมาสแรกสุดสดใส!
จีนลั่นพร้อมรับมือ! แม้สงครามการค้าสหรัฐฯ ร้อนระอุและกำแพงภาษีทรัมป์สูงลิ่ว จีนยังคงแสดงความมั่นใจในเศรษฐกิจ หลังตัวเลข GDP ไตรมาสแรกปี 2025 โตแข็งแกร่ง 5.4% เกินคาด
สำนักข่าว CNN เผย ประเทศจีนประกาศตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเกินคาดในช่วงสามเดือนแรกของปี 2568
ก่อนที่มาตรการภาษีของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์จะมีผลบังคับใช้อย่างเต็มที่ พร้อมส่งสัญญาณเชิงบวกถึงแนวทางการรับมือกับสงครามการค้าที่กำลังดำเนินอยู่กับวอชิงตัน
สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของจีน ขยายตัว 5.4% ในช่วงสามเดือนแรกของปี
ซึ่งสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์กว่า 50 รายที่สำรวจโดย Reuters คาดการณ์ไว้ที่ 5.1% อย่างมีนัยสำคัญ
และยังเป็นการสานต่อแนวโน้มการเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยการส่งออกที่แข็งแกร่งอย่างน่าประหลาดใจตั้งแต่ช่วงปลายปี 2024
การเติบโตของจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของโลก กำลังได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากต้องรับมือกับผลกระทบจากสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงกับสหรัฐอเมริกา
ซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจที่จีนเผชิญมาหลายปี ทั้งวิกฤตการณ์ในภาคอสังหาริมทรัพย์ ภาวะเงินฝืด และความลังเลของผู้บริโภคในการจับจ่ายใช้สอย
จีนกับผลกระทบจากกำแพงภาษีทรัมป์
ข้อมูลที่ NBS ประกาศออกมาครอบคลุมการเติบโตในไตรมาสแรก ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน
โดยในช่วงดังกล่าว ทรัมป์ได้ประกาศมาตรการภาษีสองรอบ รวมเป็น 20% สำหรับสินค้าจีนที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิล
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเหล่านี้ยังไม่รวมผลกระทบจากมาตรการภาษี "ตอบโต้" เพิ่มเติมของทรัมป์ต่อสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งมีผลบังคับใช้ในเดือนเมษายน
ทำให้ขณะนี้อัตราภาษีโดยรวมที่จีนถูกเรียกเก็บสูงถึง 145%
เซิ่ง ไหลหยุน รองผู้อำนวยการ NBS ระบุว่า จีนคัดค้านกำแพงภาษีและการ "กลั่นแกล้งทางการค้า" ของสหรัฐฯ แม้ว่ามาตรการภาษีเหล่านี้จะสร้าง "แรงกดดันบางอย่าง" ต่อเศรษฐกิจจีน
แต่ก็ "ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแนวโน้มโดยรวมของการพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาวอย่างต่อเนื่องของจีนได้"
"พื้นฐานเศรษฐกิจของจีนมีเสถียรภาพ ยืดหยุ่น และมีศักยภาพมหาศาล"
"ดังนั้นเราจึงมีความกล้าหาญ ความสามารถ และความมั่นใจที่จะรับมือกับความท้าทายจากภายนอกและบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ตั้งไว้"
- เซิ่ง ไหลหยุน รองผู้อำนวยการ NBS
นอกจาก GDP แล้ว การใช้จ่ายของผู้บริโภคและการผลิตก็สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้เช่นกัน โดยยอดค้าปลีกในเดือนมีนาคมเพิ่มขึ้น 5.9% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน
และผลผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัว 7.7% ในเดือนมีนาคม เทียบกับ 5.9% ในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์
กระจายความเสี่ยงทางการค้า-การทูตเชิงรุก
เช่นเดียวกับผู้นำจีนในการเปิดประชุมรัฐสภาจีนเมื่อเดือนที่แล้ว นายเซิงพยายามแสดงความเชื่อมั่นในความสามารถของประเทศในการดำเนินนโยบายต่อไปได้ แม้จะเผชิญกับแรงกดดันทางการค้าที่เพิ่มขึ้นจากประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก
นายเซิงชี้ให้ผู้สื่อข่าวเห็นว่า จีนได้กระจายความสัมพันธ์ทางการค้าไปสู่ประเทศอื่นๆ นอกเหนือจากสหรัฐฯ ตั้งแต่สงครามการค้าครั้งแรกกับสหรัฐฯ
โดยสัดส่วนการส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯ ลดลงจาก 19.2% ของการส่งออกทั้งหมดในปี 2018 เหลือ 14.7% ในปี 2024
"รูปแบบตลาดที่หลากหลายกำลังก่อตัวขึ้น ซึ่งหมายความว่าการพึ่งพาตลาดส่งออกเดียวในบางประเทศของเราลดลง"
"ดังนั้นการค้าต่างประเทศของจีนจึงมีความยืดหยุ่นค่อนข้างมาก"
"ข้อมูลการค้าต่างประเทศในไตรมาสแรกที่เพิ่งเปิดเผยก็แสดงให้เห็นว่า แม้จะมีข้อจำกัดจากภายนอกเพิ่มขึ้น แต่การส่งออกยังคงเติบโตถึง 6.9%"
ขณะเดียวกัน จีนก็กำลังดำเนินกลยุทธ์การทูตเชิงรุกเพื่อนำเสนอภาพลักษณ์ของตนเองในฐานะหุ้นส่วนที่มีเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจมากกว่าสหรัฐอเมริกา
โดยในขณะนี้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนกำลังอยู่ระหว่างการเยือนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ด้วยเป้าหมายดังกล่าว
ตามรายงานของสำนักข่าวซินหัวของจีน ในการพบปะกับผู้นำระดับสูงของเวียดนามเมื่อวันจันทร์ ประธานาธิบดีสีกล่าวว่า
ทั้งสองประเทศควรร่วมมือกันเพื่อรักษา "เสถียรภาพของระบบการค้าเสรีโลก ตลอดจนห่วงโซ่อุตสาหกรรมและอุปทาน"
ทั้งนี้ กลุ่มประเทศอาเซียน 10 ประเทศ ได้แซงหน้าสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปขึ้นเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของจีนในปี 2023