เจ้าหญิงแมรี ว่าที่ราชินีเดนมาร์ก ชีวิตดั่งเทพนิยาย จากสามัญชน สู่ราชวงศ์
จากสามัญชนที่ไต่เต้าสู่ราชวงศ์ชั้นสูงของยุโรป และเส้นทางสู่การเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งราชอาณาจักรเดนมาร์ก หากจะบอกว่าเรื่องราวของ "แมรี เอลิซาเบธ" หญิงสาวนักการตลาด ที่ได้พบรักกับมกุฎราชกุมารแห่งเดนมาร์ก เป็นเรื่องราวความรักดั่งเทพนิยายคงไม่ผิดนัก
ในสุนทรพจน์ส่งท้ายปีเก่าของสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก ทรงตรัสถึงประเด็นต่างๆ ที่สำคัญไม่ว่าจะเป็นสงครามในฉนวนกาซา วิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การรุกคืบของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และความภาคภูมิใจในตัวเจ้าชายคริสเตียน พระราชนัดดา ซึ่งเพิ่งทรงเจริญพระชนมายุ 18 พรรษา
อย่างไรก็ตาม พระองค์ตรัสเพิ่มเติมว่า เวลาผ่านมาเนิ่นนานและพระอาการประชวรก็มีมากมาย ทรงไม่สามารถรับมือกับสิ่งที่เคยทำได้เหมือนดังในอดีต โดยก่อนหน้านี้พระองค์ทรงเข้ารับการผ่าตัดพระขนอง (หลัง) เมื่อช่วงต้นปี 2023 ซึ่งการผ่าตัดในครั้งนั้น ทำให้พระองค์คิดถึงอนาคตว่า ถึงเวลาแล้วหรือไม่ที่จะส่งต่อความรับผิดชอบนี้ให้กับคนรุ่นต่อไป
“ข้าพเจ้าตัดสินใจแล้วว่า นี่คือเวลาที่เหมาะสม เราจะส่งมอบราชบัลลังก์ต่อให้มกุฎราชกุมาร เจ้าชายเฟรเดอริค” คือหนึ่งในพระราชดำรัส ของ “สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2” ที่ทรงประกาศสละราชสมบัติ และพระราชสถานะ “องค์พระประมุขแห่งประเทศเดนมาร์ก” เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2023 โดยจะมีผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 14 มกราคม 2024 นี้ ซึ่งเป็นวันครบรอบ 52 ปี การขึ้นครองราชย์ของพระองค์
การประกาศสละราชสมบัติถือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยากมากในประเทศเดนมาร์ก โดยครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นคือในปี ค.ศ. 1146 เมื่อพระเจ้าอีริคที่ 3 ประกาศสละราชบัลลังก์เพื่อออกแสวงบุญ ทั้งยังเป็นกษัตริย์เพียงองค์เดียวของประเทศที่ประกาศสละราชบัลลังก์
อย่างไรก็ตาม “เจ้าชายเฟรเดอริก” มกุฎราชกุมารแห่งเดนมาร์ก ซึ่งเป็นพระราชโอรสพระองค์โตของสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 จะขึ้นครองราชย์ในฐานะประมุขแห่งเดนมาร์กแทน ขณะที่ “เจ้าหญิงแมรี” มกุฎราชกุมารี ในฐานะพระชายาจะกลายเป็นราชินีองค์แรกของประเทศที่ไม่ใช่ชาวเดนมาร์กแต่กำเนิด
การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ยังนับเป็นก้าวสำคัญของความเท่าเทียมในราชวงศ์เดนมาร์กอีกด้วย เนื่องจากสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 ทรงเป็นกษัตริย์หญิงพระองค์แรกในรอบกว่า 500 ปีของราชวงศ์เดนมาร์ก และการที่เจ้าหญิงแมรีซึ่งเป็นสามัญชน ทั้งยังเป็นชาวต่างชาติได้ขึ้นเป็นพระราชินี ยิ่งตอกย้ำถึงความเปิดกว้างและทันสมัยของราชวงศ์เดนมาร์ก
จากสามัญชน สู่การไต่เต้าเข้าราชวงศ์ชั้นสูงของยุโรป
“แมรี เอลิซาเบธ” เกิดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 1972 ที่เกาะแทสมาเนีย ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศออสเตรเลีย ทั้งพ่อและแม่ของเธอเป็นชาวสกอตแลนด์ โดยแม่ของเธอเป็นผู้ช่วยผู้บริหารของรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยแห่งแทสมาเนีย ขณะที่พ่อของเธอเป็นนักวิชาการและอาจารย์สอนคณิตศาสตร์
การเริ่มต้นชีวิตการทำงานของแมรีเริ่มจากการเป็นนักบริหารงานโฆษณา เป็นที่ปรึกษาการตลาดและการสื่อสาร ก่อนที่เธอจะได้งานที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่งในซิดนีย์ และที่นั่นเอง เธอได้พบกับเจ้าชายเฟรเดอริค มกุฎราชกุมารแห่งเดนมาร์ก ที่เดินทางไปร่วมงานโอลิมปิกในปี 2000 โดยทั้งคู่พบกันในผับชื่อ Slip Inn ขณะที่แมรีเคยให้สัมภาษณ์ว่า เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าอีกฝ่ายเป็นถึงเจ้าชายของเดนมาร์ก
ทั้งสองได้จัดพิธีอภิเษกสมรสในปี 2004 ณ มหาวิหารโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ซึ่งมีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลก ทั้งยังมีพระโอรสและพระธิดารวม 4 พระองค์ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเจ้าชายคริสเตียน องค์รัชทายาทที่จะขึ้นครองบัลลังก์เป็นลำดับต่อไป
นอกจากการได้รับคำชมในเรื่องบุคลิกภาพและรสนิยมด้านแฟชั่นแล้ว เจ้าหญิงแมรี ยังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากการอุทิศตนให้กับกิจกรรมทางสังคมผ่านมูลนิธิ "The Mary Foundation" ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2007 เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้เปราะบาง ยากจน และด้อยโอกาส
ทางด้าน จูเลียต รีเดน บรรณาธิการใหญ่ของ The Australian Women's Weekly ให้ความเห็นว่า เจ้าหญิงแมรียืนหยัดผลักดันสิทธิเด็กและสิทธิสตรีในเดนมาร์กอย่างหนัก ทั้งยังให้ความช่วยเหลือต่อบรรดาผู้ลี้ภัย ซึ่งเป็นบทพิสูจน์คุณค่าของเธอในฐานะแบบอย่างและผู้นำของเดนมาร์ก ดังนั้นเธอจึงเห็นว่าชาวออสเตรเลียจะภูมิใจอย่างมากในบทบาทการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งราชินีของเจ้าหญิงแมรี
สัญญาณชี้ควีนเตรียมก้าวลงจากราชบัลลังก์
จูเลียต ริเดน กล่าวว่า ชาวเดนมาร์กส่วนใหญ่คาดหวังว่าสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 จะทรงครองราชย์ไปตลอดพระชนม์ชีพ เหมือนกับสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งอังกฤษ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มในอดีตอาจเป็นตัวบ่งชี้ได้ว่าพระองค์เตรียมก้าวลงจากราชบัลลังก์อยู่เนืองๆ เช่น การลดขนาดราชวงศ์และถอดถอนบรรดาศักดิ์ของลูกๆ
นอกจากนี้ยังมีความเห็นว่า การถอดถอนบรรดาศักดิ์ของลูกคนอื่นๆ ก็เพื่อปูทางให้รัชทายาท ให้สามารถเริ่มต้นรัชกาลใหม่ด้วยภาพลักษณ์ที่ดี มีภาพลักษณ์ที่คุ้มค่ากับภาษีประชาชน โดยการส่งต่อราชบัลลังก์ให้กับสมาชิกราชวงศ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
ทั้งนี้ ราชวงศ์เดนมาร์กมีบทบาทจำกัดภายใต้รัฐธรรมนูญของประเทศ โดยอำนาจส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับรัฐสภา โดยกษัตริย์มีบทบาทสำคัญในฐานะทูต รวมถึงการลงนามในกฎหมายใหม่
พิธีราชาภิเษก
ในช่วงผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ของเดนมาร์ก บรรยากาศจะแตกต่างจากพิธีราชาภิเษกอันโอ่อ่าหรูหราที่คนส่วนใหญ่เคยเห็นจากสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 แห่งอังกฤษ เมื่อเดือนพฤษภาคมของปีที่ผ่านมา ซึ่งรายละเอียดต่างๆ ยังไม่ได้รับการยืนยัน แต่สำนักราชวังเดนมาร์กเผยว่า สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 จะทรงสละราชสมบัติ ณ สภาแห่งรัฐ ซึ่งเป็นคณะที่ปรึกษาของสถาบันกษัตริย์
จูเลียต รีเดน คาดการณ์ว่า ในวันที่ 14 มกราคม กษัตริย์และราชินีองค์ใหม่น่าจะปรากฏตัวบริเวณระเบียงของพระราชวังคริสเตียนส์บอร์กซึ่งเป็นที่ประทับอย่างเป็นทางการของราชวงศ์ในโคเปนเฮเกน พร้อมนายกรัฐมนตรีเดนมาร์ก และอาจโบกพระหัตถ์ให้ประชาชน
เหตุการณ์นี้คาดว่าจะยิ่งทำให้ชาวออสเตรเลียมีความสนใจในตัวเจ้าหญิงแมรีมากขึ้น โดยจูเลียต รีเดน กล่าวเสริมว่า ทุกครั้งที่นำเจ้าหญิงขึ้นปกนิตยสาร The Australian Women's Weekly มักจะส่งผลให้ยอดขายสูงขึ้น และเมื่อเธอขึ้นเป็นราชินีแน่นอนว่าความนิยมนั้นจะเพิ่มขึ้นมากกว่าที่เคยเป็นมา