posttoday

"รถยนต์ไฟฟ้า” จุดเปลี่ยนเกมอุตสาหกรรมพลังงาน?

07 ธันวาคม 2566

แม้การเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่พลังงานสะอาดจะเป็นไปอย่างล่าช้าจนสร้างความกังวลระหว่างการประชุม COP28 แต่หนึ่งในข้อดีที่เห็นได้จากการประชุมคือสัดส่วนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้หลายฝ่ายต้องปรับอัตราคาดการณ์การใช้น้ำมันของโลกว่าจะแตะจุดพีคในช่วงใด โดยองค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) คาดว่าอัตราการใช้น้ำมันทั่วโลกจะแตะจุดพีคช่วงปลายทศวรรษนี้ที่ 103 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้ในปี 2017 ว่าอัตราการใช้น้ำมันทั่วโลกจะแตะจุดสูงสุดที่ 105 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2040”

Apostolos Petropoulos ผู้สร้างแบบจำลองด้านพลังงานของ IEA กล่าวว่า รถยนต์ไฟฟ้าถือเป็นตัวเปลี่ยนเกมครั้งใหญ่ ที่ช่วยให้ภาคการขนส่งลดอัตราความต้องการน้ำมันลงอย่างมาก ซึ่งภาคการขนส่งถือเป็นตัวแปรหลักในการขับเคลื่อนอุปสงค์น้ำมันทั่วโลก

ตามข้อมูลของ IEA ภาคการขนส่งมีส่วนในการบริโภคน้ำมันถึง 60% ของโลก ขณะที่สหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียวมีส่วนถึง 10% อย่างไรก็ตาม คาดว่าตัวเลขดังกล่าวจะลดลงจากการรุกคืบของรถยนต์ไฟฟ้า ที่จะช่วยลดความต้องการน้ำมันทั่วโลกลง 5 ล้านบาร์เรลต่อวันภายในปี 2030

ปัจจุบันยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกคิดเป็น 13% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 40%-45% ภายในปลายทศวรรษนี้ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากนโยบายอุดหนุนของรัฐบาลประเทศต่างๆ ที่มุ่งบรรลุข้อตกลงปารีสปี 2015 ในการจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ก่อนยุคอุตสาหกรรม

แม้ตัวเลขดังกล่าว จะถือว่าอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างสูง แต่ IEA ระบุว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าต้องเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ หรือ 70% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดทั่วโลกภายในปี 2030 เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายของข้อตกลงปารีส

อย่างไรก็ตาม บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง General Motors, Ford และ Stellantis เพิ่งชะลอแผนการผลิตไปจากต้นทุนแรงงานที่เพิ่มขึ้น รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่สูงจนส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในสหรัฐฯ

\"รถยนต์ไฟฟ้า” จุดเปลี่ยนเกมอุตสาหกรรมพลังงาน?

ราคารถยนต์ไฟฟ้าที่จับต้องได้

ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าให้ความเห็นว่า คนส่วนใหญ่จะหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นก็ต่อเมื่อมีราคาที่จับต้องได้ รวมถึงมีสถานีชาร์จที่ครอบคลุม ซึ่งในปัจจุบัน ประเทศจีนถือว่ากุมความได้เปรียบในทั้ง 2 ด้าน

ในช่วงกลางปี  2023 ราคารถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉลี่ยในจีนอยู่ที่ 33,964 ดอลลาร์ ​​หรือราว 1.2 ล้านบาท ขณะที่ราคารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นที่ถูกที่สุดในจีน มีราคาต่ำกว่ารถยนต์สันดาปถึง 8% โดยส่วนหนึ่งมาจากเงินอุดหนุนจากภาครัฐ และทรัพยากรแร่ต่างๆที่จีนมีอยู่ในประเทศซึ่งจำเป็นต่อการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า

ขณะเดียวกัน ราคารถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉลี่ยของสหรัฐฯ อยู่ที่ 53,000 ดอลลาร์ ​​หรือราว 1.9 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่ารถยนต์สันดาปถึง 5,000 ดอลลาร์ ​​หรือราว 1.8 แสนบาท

นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังตามหลังจีนในด้านจำนวนสถานีชาร์จ โดยสถานีชาร์จสาธารณะสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐฯ มีอยู่ราว 52,000 แห่ง ส่วนในยุโรปมีอยู่ราว 400,000 แห่ง ขณะที่จีนมีสถานีชาร์จสาธารณะ 1.2 ล้านแห่ง

IEA คาดการณ์ว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้น 50% ภายในปี 2030 จากเทคโนโลยีที่ได้รับการปรับปรุงแล้วและมีส่วนทำให้ราคาถูกลง รวมถึงผู้ใช้อยากหลีกเลี่ยงสถานการณ์จากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ผันผวน

ทั้งนี้ รถยนต์ไฟฟ้าในจีน ถือว่ากินส่วนแบ่งทางการตลาดไปแล้วกว่า 1 ใน 4 และคาดว่าในอนาคต จีนจะเป็นผู้นำอุตสาหกรรม EV ในระดับโลก