รัฐบาลญี่ปุ่นของบกลาโหมเป็นสูงประวัติการณ์จากความตึงเครียดกับจีน
กระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นเรียกร้องให้มีการอนุมัติงบประมาณ 7.7 ล้านล้านเยน (52.67 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.84 ล้านล้านบาท) สำหรับปีงบประมาณ 2024 ซึ่งถือเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดของแผนการของนายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ ที่จะเพิ่มการใช้จ่ายทางทหาร 43 ล้านล้านเยนในช่วง 5 ปี
แผนดังกล่าวซึ่งประกาศเมื่อปีที่แล้ว มีเป้าหมายที่จะเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมขึ้นสองเท่าเป็น 2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศภายในปี 2570 หลังจากต้องเผชิญกับจีนที่แสดงออกอย่างแข็งกร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงเกาหลีเหนือที่ยังไม่อาจคาดเดาได้
คำขออนุมัติงบประมาณดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับจีนถดถอยลงอย่างมาก เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ญี่ปุ่นเริ่มปล่อยน้ำกัมมันตภาพรังสีที่ผ่านการบำบัดแล้วจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะลงสู่ทะเล ทำให้จีนประณามความเคลื่อนไหวดังกล่าวอย่างรุนแรง รวมทั้งสั่งห้ามนำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่นทันที
คำขอปีงบประมาณ 2024 ที่ยื่นต่อกระทรวงการคลัง เพิ่มเกือบล้านล้านเยนจากงบประมาณปีที่แล้วที่ 6.8 ล้านล้านเยน เพิ่มขึ้นประมาณ 13% หากได้รับอนุมัติ โดยตามคำของบประมาณ กระทรวงกลาโหมวางแผนที่จะจัดสรรเงินมากกว่า 900 พันล้านเยนสำหรับกระสุนและอาวุธ รวมถึงขีปนาวุธป้องกันภัยทางอากาศบนเรือลำใหม่ ขณะที่เงินจำนวน 6 แสนล้านเยนจะถูกนำมาใช้เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถด้านลอจิสติกส์เพื่อปรับใช้อาวุธและทรัพยากรไปยังหมู่เกาะทางตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งงบประมาณดังกล่าวประกอบด้วยเงินทุนสำหรับเรือลงจอดใหม่ 3 ลำ รวมมูลค่า 17 พันล้านเยน มากกว่า 300 พันล้านเยนสำหรับเฮลิคอปเตอร์ขนส่ง 17 ลำ และทีมขนส่งพิเศษชุดใหม่เพื่อปรับปรุงขีดความสามารถในการวางกำลัง
นอกจากนี้ ญี่ปุ่นจะทุ่มเงิน 75 พันล้านเยนเพื่อพัฒนาขีปนาวุธสกัดกั้นร่วมกับสหรัฐฯ เพื่อตอบโต้ขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง และ 64 พันล้านเยนสำหรับการสร้างเครื่องบินรบรุ่นต่อไปร่วมกับอังกฤษและอิตาลี
การใช้จ่ายด้านกลาโหมเป็นประวัติการณ์ของญี่ปุ่น เกิดขึ้นหลังจากนโยบายสันติภาพมานานหลายทศวรรษ ซึ่งเป็นผลจากการที่สหรัฐอเมริกา กำหนดให้รัฐธรรมนูญญี่ปุ่นจำกัดศักยภาพด้านการก่อสงครามหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
แต่ความกังวลเกี่ยวกับศักยภาพทางทะเลของจีน และรวมถึงความเคลื่อนไหวทางทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อไต้หวัน และการอาวุธที่ดียิ่งขึ้นของเกาหลีเหนือ เช่นเดียวกับการรุกรานยูเครนของรัสเซีย ได้เปลี่ยนความคิดของรัฐบาลญี่ปุ่นให้หันมาเสริมสร้างความเข้มแข็งของกำลังรบมากขึ้น แต่ประวัติศาสตร์การรุกรานของญี่ปุ่นก่อนและระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองที่ยังคงเป็นสาเหตุของความตึงเครียดในความสัมพันธ์กับบางประเทศในเอเชีย ทำให้ญี่ปุ่นให้คำรับรองว่ากำลังทหารที่เพิ่มขึ้นจะไม่ถูกนำมาใช้เพื่อคุกคามผู้อื่น โดยยืนยันว่าจะยังคงให้ความสำคัญกับความพยายามทางการทูตและการเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด