ระบบไฟฟ้าของสหรัฐฯ เริ่มใช้เชื้อเพลิงที่ไม่ใช่ฟอสซิลมากขึ้น
ผู้ผลิตไฟฟ้าของสหรัฐฯ เพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติมากกว่าแหล่งพลังงานสะอาดอื่นๆในช่วงแปดเดือนแรกของปี 2566 เนื่องจากบริษัทไฟฟ้าต้องเผชิญกับความเร็วลมต่ำและความต้องการอย่างมากจากเครื่องปรับอากาศที่ใช้พลังงานสูง
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงไปสู่ภาคการขนส่งแบบใช้ไฟฟ้า ความพยายามในการลดคาร์บอนของระบบโครงข่ายไฟฟ้าของสหรัฐฯ ปรากฏชัดเจนในแผนเพิ่มเติม และการเลิกใช้กำลังการผลิตไฟฟ้าในระดับสาธารณูปโภค สำหรับปี 2023 กำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นจะมาจากพลังงานแสงอาทิตย์ (52%) และพลังงานลม (13%) ขณะที่ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลชนิดเดียวที่มีส่วนทำให้เกิดกำลังการผลิตใหม่และจะคิดเป็น 14% ของทั้งหมด ในทางตรงกันข้าม เกือบ 100% ของกำลังการผลิตที่จะเลิกใช้นั้นใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งส่วนใหญ่คือถ่านหิน (62%)
แม้ข้อมูลที่รวบรวมโดย Refinitiv แสดงให้เห็นว่า การผลิตไฟฟ้าโดยรวมใน 48 รัฐตอนล่างจนถึงวันที่ 20 ส.ค. 2566 ลดลง 2.1% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2565 แต่การผลิตก๊าซธรรมชาติกลับเพิ่มขึ้นกว่า 10% ทำให้ปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นแหล่งพลังงานหลักของประเทศเพิ่มมากขึ้น ขณะที่การผลิตถ่านหินในสหรัฐฯ ลดลง 21% จนถึงวันที่ 20 สิงหาคม จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2022 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการลดการใช้ถ่านหินโดยผู้ผลิตไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องเพื่อลดมลพิษจากภาคส่วนนี้
ที่จนถึงกลางเดือนสิงหาคม ส่วนแบ่งการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซเฉลี่ยอยู่ที่ 40.4% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดของประเทศ เพิ่มขึ้นจากต่ำกว่า 36% ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2022 ส่วนแบ่งการผลิตก๊าซที่เพิ่มขึ้นนั้นบดบังการเติบโตของการผลิตไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานสะอาด รวมถึงพลังงานนิวเคลียร์ พลังงานแสงอาทิตย์ ลม และพลังน้ำ
จนถึงวันที่ 20 ส.ค. พลังงานสะอาดคิดเป็น 40.5% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด จาก 39.9% ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2565 เนื่องจากปริมาณการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำและลมของประเทศที่ลดลงในช่วงครึ่งแรกของปี 2566
ตัวอย่างจากภูมิภาคแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือของสหรัฐ ซึ่งมีการผลิตพลังงานสะอาดลดลงมากที่สุดในบรรดาตลาดพลังงานหลักทั้งหมดในประเทศ จะสะท้อนภาพความต้องการพลังงานของสหรัฐได้
ช่วงเวลาแห้งที่ยาวนานได้ลดการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำในระบบ Northwest Power Pool ลงเกือบ 20% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2022 ส่งผลให้ส่วนแบ่งของการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำเหลือ 33% จาก 38% ในปี 2022
ขณะที่ผลผลิตพลังงานนิวเคลียร์ก็หดตัวลงกว่า 20% ในปีนี้ เนื่องจากการหยุดทำงานที่เครื่องปฏิกรณ์แห่งเดียวในภูมิภาค ในขณะที่การผลิตถ่านหินลดลง 9%
เพื่อชดเชยการผลิตที่ลดลงจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำ นิวเคลียร์ และถ่านหิน บริษัทผลิตไฟฟ้าจึงหันมาเพิ่มปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติอีกครั้ง ซึ่งจนถึงวันที่ 20 ส.ค. ก็เพิ่มขึ้น 25% จากปีก่อน
ในตลาด Midcontinent Independent System Operator (MISO) ซึ่งครอบคลุม 15 รัฐทั่วตอนกลางของประเทศ การผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อช่วยชดเชยการผลิตถ่านหินที่ลดลงและกำลังลมที่ส่งออกลดลงเกือบ 10% เนื่องจากความเร็วลมต่ำผิดปกติ
ภาวะดังกล่าว ทำให้บริษัทพลังงานมีแนวโน้มที่จะยังคงเป็นผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติจำนวนมากตลอดช่วงที่เหลือของฤดูร้อน เพื่อทำความเย็น และต่อเนื่องไปอีกเมื่อความต้องการใช้ความร้อนเพิ่มขึ้นในฤดูหนาว ซึ่งตอกย้ำบทบาทที่สำคัญของก๊าซธรรมชาติในระบบไฟฟ้าของสหรัฐฯ แม้ว่ากำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ก้าวเป็นประวัติการณ์


