วิกฤตสตาร์ทอัพอวกาศสหรัฐฯ ปลดพนักงานรับการลงทุนที่ลดลง

ในขณะที่ผู้เล่นรายอื่นในอุตสาหกรรมด้านอวกาศที่มีชื่อเสียงอย่าง SpaceX ของ Elon Musk และ Blue Origin ของ Jeff Bezos ได้ทุ่มเงินไปหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาจรวดใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม แต่ บริษัทสตาร์ทอัพด้านจรวดอย่าง Astra Space, บริษัทด้านภาพถ่ายดาวเทียม Planet Labs และ บริษัทผู้ผลิตเครื่องยนต์เอกชนอย่าง Ursa Major กลับต้องปรับลดจำนวนพนักงานลงเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน

โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากบริษัทปล่อยดาวเทียม Virgin Orbit ซึ่งมีมหาเศรษฐี Richard Branson เป็นเจ้าของ ยื่นฟ้องล้มละลายในเดือนเมษายน โดยบริษัทได้ระบุปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลายปัจจัย เช่น ตลาดทุนที่ผันผวนและ Richard Branson ไม่เต็มใจที่จะลงทุนต่อกับธุรกิจนี้อีกต่อไป

Joe Laurienti ซีอีโอของ Ursa Major กล่าวกับรอยเตอร์ว่า "จุดสนใจของนักลงทุนในกลุ่มธุรกิจนี้แตกต่างจากช่วง2-3ปีก่อนโดยสิ้นเชิง มันไม่ได้เกี่ยวกับศักยภาพของคุณอีกต่อไป แต่อยู่ที่ว่าคุณจะดำเนินการและส่งมอบตามที่ให้ไว้ในสัญญาได้หรือไม่"

การลงทุนด้านธุรกิจอวกาศที่ลดลงอย่างมาก เป็นผลพวงสืบเนื่องจากเศรษฐกิจที่ซบเซาช่วงปีที่แล้ว และเริ่มกลับมามีเสถียรภาพในไตรมาสล่าสุด ซึ่งบริษัทสตาร์ทอัพหลายแห่งเริ่มเปิดตัวสู่สาธารณะผ่าน “บริษัท เช็คเปล่า (Blank-Check Company) ” เพื่อระดมเงินจากนักลงทุน ต้องได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

Caleb Henry นักวิเคราะห์ของ Quilty Analytics เรียกตลาดนี้ว่าเป็นตลาดทุนที่เต็มไปด้วยความท้าทายและยากลำบาก บริษัทสตาร์ทอัพกำลังทำงานด้วยทรัพยากรที่พวกเขามีอยู่ แทนที่จะพึ่งเงินลงทุนใหม่

ขณะที่ บริษัท Astra เผยว่าบริษัทได้ลดจำนวนพนักงานราว 25% และเปลี่ยนทิศทางการดำเนินงานจากโครงการการปล่อยจรวดที่เคยเป็นหลักของธุรกิจ โดยตอนนี้บริษัทได้หันมามุ่งเน้นกับระบบขับเคลื่อนดาวเทียมแทน ซึ่งจะเป็นจุดที่สามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้อย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ บริษัทได้ประกาศว่าจะเลื่อนการทดสอบของจรวดออกไปในปี 2024 เพื่อให้สามารถมุ่งเน้นไปกับระบบขับเคลื่อนดาวเทียมได้อย่างเต็มที่ ขณะที่บริษัทรายงานว่ามีเงินสดและหลักทรัพย์อยู่ทั้งสิ้น 26 ล้านดอลลาร์ ซึ่งลดลงจาก 201 ล้านดอลลาร์ในปีก่อนหน้านี้