TikTok เล็งลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขยายธุรกิจ e-commerce

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นภูมิภาคที่มีประชากรรวมราว 630 ล้านคน โดยครึ่งหนึ่งมีอายุต่ำกว่า 30 ปี และเป็นหนึ่งในตลาดที่ใหญ่ที่สุดของ TikTok จากจำนวนผู้ใช้งาน แต่ถึงอย่างนั้น TikTok ยังไม่สามารถแปลงฐานผู้ใช้ขนาดใหญ่ในภูมิภาคนี้ให้กลายเป็นแหล่งรายได้จากการทำธุรกิจ  e-commerce ได้ เนื่องจากต้องเผชิญกับคู่แข่งรายใหญ่อย่าง  Shopee, Lazada  และ Tokopedia

"เราจะลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในอินโดนีเซียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า" Shou Zi Chew ซีอีโอของ TikTok กล่าวในงานสัมมนาที่จัดขึ้นในกรุงจากาตาร์เพื่อเน้นย้ำถึงผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ 

TikTok มีพนักงาน 8,000 คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมีผู้ค้ารายย่อยอยู่ 2 ล้านรายในอินโดนีเซียที่ขายสินค้าบนแพลตฟอร์ม ซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้

เขายังให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า เนื้อหาในแพลตฟอร์มของ TikTok จะมีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อรองรับผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้น และนอกจากการโฆษณาบนแพลตฟอร์มแล้วบริษัทจะขยายไปสู่ธุรกิจ e-commerce ซึ่งผู้ใช้สามารถซื้อสินค้าผ่านลิงค์ระหว่างรับชมการสตรีมสดได้

แผนการลงทุนนี้เกิดขึ้นในช่วงที่บริษัทต้องเผชิญกับการตรวจสอบจากรัฐบาลและหน่วยงานกำกับดูแล เนื่องจากมีความกังวลว่าแอปอาจแอบเก็บข้อมูลผู้ใช้และนำไปพัฒนาเพื่อเสริมประโยชน์ส่วนตัวของบริษัท

ขณะที่ประเทศอื่นๆ อย่างสหราชอาณาจักรและนิวซีแลนด์ได้แบนแอปนี้บนอุปกรณ์ของภาครัฐ เนื่องจากกังวลว่า ทางการจีนอาจสามารถเข้าถึงข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อนได้ อย่างไรก็ตาม TikTok โต้ว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดจากความเข้าใจผิดๆ และมีภูมิรัฐศาสตร์เป็นแรงขับเคลื่อน

TikTok ปฏิเสธหลายครั้งว่าไม่เคยแบ่งปันข้อมูลกับรัฐบาลจีน และบริษัทจะไม่กระทำในลักษณะนั้นเช่นกันหากถูกทาบทาม 

อย่างไรก็ตาม ทางการอินโดนีเซียเคยออกคำสั่งห้ามใช้ TikTok ชั่วคราว ในปี 2018 เนื่องจากพบว่าในแพลตฟอร์มมีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ทั้งภาพลามกอนาจารและการดูหมิ่นศาสนา

ส่วนทางฝั่งเวียดนาม หน่วยงานกำกับดูแลอยู่ในระหว่างการสอบสวนหลังจากพบว่า TikTok มีเนื้อหาที่ ‘เป็นพิษ’ ต่อเยาวชน และเป็นภัยคุกคามต่อวัฒนธรรมและประเพณีของเวียดนาม