posttoday

หลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของจีนพยายามสร้างความมั่นใจให้กับภาคเอกชน

13 มีนาคม 2566

หลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของจีนพยายามสร้างความมั่นใจให้กับภาคเอกชนของประเทศเมื่อวันจันทร์ โดยกล่าวว่าสภาพแวดล้อมสำหรับธุรกิจผู้ประกอบการจะดีขึ้น และจะได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมกันกับบริษัทต่างๆ โดยไม่คำนึงถึงประเภทความเป็นเจ้าของ

หลี่ซึ่งได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันเสาร์ระหว่างการประชุมประจำปีของรัฐสภาจีน ได้รับมอบหมายให้ฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกหลังจากชะลอตัวจากมาตรการควบคุมโควิดมาสามปี แต่เขาต้องเผชิญกับความท้าทาย รวมถึงความเชื่อมั่นที่ลดลงในหมู่ผู้บริโภคและอุตสาหกรรมเอกชน อุปสงค์ที่ซบเซาสำหรับการส่งออก และความสัมพันธ์ที่แย่ลงกับสหรัฐฯ

อดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งเซี่ยงไฮ้และพันธมิตรใกล้ชิดของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวว่าจีนจะผลักดันมาตรการต่างๆเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน

“การพัฒนาเศรษฐกิจเป็นทางออกพื้นฐานสำหรับการสร้างงาน” หลี่ วัย 63 ปี กล่าวระหว่างการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ที่มหาศาลาประชาชนกลางกรุงปักกิ่ง

ภาคเอกชนของจีนได้รับผลกระทบอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีมานี้ จากการบังคับใช้กฎระเบียบที่มุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมที่มีการเติบโตมากที่สุดบางประเภท ซึ่งรวมถึงอินเทอร์เน็ตและการศึกษาเอกชน

ในพิธีเปิดการประชุมรัฐสภาประจำปี จีนตั้งเป้าการเติบโตของ GDP ไว้ที่ 5% เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ต่ำที่สุดในรอบเกือบ 3 ทศวรรษ หลังจากที่เศรษฐกิจเติบโตเพียง 3% ในปีที่แล้ว

การบรรลุเป้าหมายนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หลี่กล่าว โดยระบุว่าจีนจะเผชิญกับความยากลำบากมากมายในปีนี้

หลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของจีนพยายามสร้างความมั่นใจให้กับภาคเอกชน

ก่อนหน้านี้  ประธานาธิบดี สี จิ้นผิงกล่าวว่า จีนต้องการความมั่นคงในการพัฒนา และต้องปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัยเพื่อให้เป็น "กำแพงเหล็ก" โดยเรียกร้องให้จีนเพิ่มขีดความสามารถในการปกป้องความมั่นคงของชาติและจัดการความมั่นคงสาธารณะ

สีกล่าวปราศรัยเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สภาประชาชนแห่งชาติ ซึ่งเป็นรัฐสภาของจีน ลงมติเป็นเอกฉันท์ยืนยันให้เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจีนสมัยที่สาม

“ความมั่นคงเป็นรากฐานของการพัฒนา ความมั่นคงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับความเจริญรุ่งเรือง” สี วัย 69 ปี กล่าวในช่วงปิดการประชุมรัฐสภาประจำปี

สีกล่าวว่าจีนจะกระจายการพัฒนาอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น เพื่อมุ่งสู่ "ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน" นโยบายอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาในการลดช่องว่างความมั่งคั่งด้วยวิธีต่างๆ เช่น การขอให้บริษัทเอกชนเข้าร่วมในกิจกรรมต่างๆ

สี จิ้นผิง กล่าวว่า จีนต้องบรรลุการพึ่งพาตนเองมากขึ้นและความแข็งแกร่งในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องที่มีขึ้นในขณะที่สหรัฐฯ ปิดกั้นไม่ให้จีนเข้าถึงอุปกรณ์การผลิตชิปและเทคโนโลยีล้ำสมัยอื่นๆ

สำหรับไต้หวัน เกาะที่ปกครองตนเองซึ่งจีนอ้างว่าตนเป็นเจ้าของ และเป็นผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ สีกล่าวว่าจีนต้องต่อต้านกิจกรรมที่สนับสนุนเอกราชและแบ่งแยกดินแดน และการแทรกแซงของกองกำลังภายนอก

ทั้งนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ตกต่ำลงหลังจาก แนนซี เปโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐฯ เยือนไต้หวันในเดือนสิงหาคม 2565 จีนเปิดฉากการซ้อมรบรอบไต้หวันอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน และยุติการเจรจาทางทหารกับวอชิงตัน