posttoday

รีพับลิกันเดินเครื่อง ชูนโยบายห้ามสถานพยาบาลให้บริการเยาวชนข้ามเพศ

17 กุมภาพันธ์ 2566

รีพับลิกัน ยกระดับนโยบายหาเสียงโดยห้ามสถานพยาบาลให้บริการเยาวชนข้ามเพศ ผู้ปกครองหรือแพทย์ที่ให้การรักษาอาจถูกจับกุมในข้อหาทารุณกรรมเด็ก

วาระทางกฎหมายที่เกิดขึ้นนี้ เป็นร่างซึ่งมีประเด็นเกี่ยวกับคนข้ามเพศ (transgender) ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ร่างดังกล่าวกีดกันไม่ให้ครูใช้คำสรรพนามที่ตรงกับอัตลักษณ์ทางเพศ (gender identity) หรือการแสดงออกทางเพศเรียกนักเรียน ห้ามสตรีข้ามเพศลงแข่งกีฬาประเภททีมหญิง รวมถึงยังระบุให้คนข้ามเพศใช้ห้องน้ำตามเพศสภาพที่กำหนดตั้งแต่แรกเกิด

Jay Richards นักวิจัยอาวุโสของมูลนิธิ Heritage Foundation ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเชิงอนุรักษ์นิยมระบุว่า “ประเด็นนี้จะเป็นการถกเถียงระดับชาติในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งหน้า ถ้ารีพับลิกันจัดการเรื่องนี้ได้เหมาะสม ก็ถือเป็นประโยชน์ทางการเมือง”

จากข้อมูลของ Erin Reed, Alejandra Caraballo และ Allison Chapman ผู้สนับสนุนสิทธิคนข้ามเพศซึ่งติดตามกฎหมายดังกล่าว เผยว่า ในปีนี้ พรรครีพับลิกันออกร่างกฎหมายมากกว่า 300 ฉบับใน 33 รัฐ โดยมีจุดประสงค์เพื่อจำกัดสิทธิของ LGBTQ ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบกับร่างกฎหมายที่เคยยื่นในปี 2022 โดยจุดเน้นย้ำในปีนี้คือการกีดกันชุมชนคนข้ามเพศเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ (gender-affirming care) ซึ่งเป็นจุดประสงค์หลักของร่างกฎหมาย 97 ฉบับใน 27 รัฐ

รีพับลิกันเดินเครื่อง ชูนโยบายห้ามสถานพยาบาลให้บริการเยาวชนข้ามเพศ

กระบวนการและการให้บริการของระบบสุขภาพที่สนับสนุนปัจเจกบุคคล ให้คนข้ามเพศเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ (gender-affirming care) จะครอบคลุมการรักษาที่หลากหลาย เช่นการจ่ายยายับยั้งการเจริญพันธุ์ (puberty blocker) การบำบัดด้วยฮอร์โมน รวมถึงการผ่าตัดแปลงเพศสำหรับบุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี

แพทยสมาคม ต่างลงความเห็นว่าร่างกฎหมายนี้มีอคติต่อคนข้ามเพศ ซึ่งการให้บริการด้านสุขภาพดังกล่าวสามารถช่วยยกระดับคุณภาพชิวีตของพวกเขาได้ ขณะที่กลุ่มต่อต้านสิทธิคนข้ามเพศเชื่อว่าเพศที่กำหนดตั้งแต่แรกเกิดนั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และไม่ไว้วางใจความเห็นของแพทยสมาคม พวกเขาแย้งว่ารัฐบาลต้องเข้าแทรกแซงกลไกดังกล่าวเพื่อป้องกันไม่ให้พ่อแม่และแพทย์ทารุณกรรมเด็กอีกต่อไป

จากการวิเคราะห์ข้อมูลโดยบริษัทเทคโนโลยีด้านสุขภาพ Komodo Health ระหว่างปี 2017 – 2021 พบว่าเยาวชนจำนวน 121,884 คน ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค Gender Dysphoria หรือ ภาวะความไม่พึงพอใจในเพศของตนเอง หรือ ความทุกข์ใจในเพศสภาพ ซึ่งในจำนวนนี้คนที่ได้รับยายับยั้งการเจริญพันธุ์ (puberty blocker) และการบำบัดด้วยฮอร์โมนมีไม่ถึง 15% หรือเฉลี่ยแค่ 3,500 คนต่อปีเท่านั้น