ส่องยุทธศาสตร์มังกร 9 ท่าเรือล้อมโลก “String of Pearls”
The String of Pearls หรือ “ยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุก” เป็นสมมติฐานทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เสนอโดยกลุ่มวิจัยทางการเมืองของสหรัฐเมื่อ พ.ศ. 2547 หมายถึงเครือข่ายของโครงสร้างพื้นฐานทางการทหารและทางการค้าของจีน หมายรวมไปถึงความสัมพันธ์ตามเส้นทางคมนาคมทางทะเล ซึ่งขยายออกจากจีนแผ่นดินใหญ่ไปยังพอร์ทซูดานในทวีปแอฟริกา
มีการบันทึกว่า ในปี 2004 บริษัทที่ปรึกษา Booz Allen Hamilton ในสหรัฐเรียกการวางยุทธศาสตร์เครือข่ายทางการทหารและการเศรษฐกิจของจีนในมหาสมุทรอินเดียว่า "สร้อยไข่มุก" เพื่อจะอธิบายว่า จีนใช้ "ฐานที่มั่น" เหล่านี้ในการโอบล้อมและเขมือบมหาสมุทรอินเดีย โดยตั้งฐานในประเทศที่เป็นคู่กรณีกับอินเดีย หรือประเทศที่ไม่ค่อยจะลงรอยกัน
“เส้นรอยต่อสร้อยไข่มุก” หรือ String of Pearls จึงเป็นศัพท์เรียกเส้นทางเดินทางทะเล จากจีนแผ่นดินใหญ่ยาวเหยียดไปไกลถึงพอร์ทซูดานในแอฟริกา
การลงทุนจีนในท่าเรือทั่วโลก
สื่อเศรษฐกิจบางแห่งระบุว่า จีนมีท่าเรือคอนเทนเนอร์ 34 แห่งในประเทศ และ 25 แห่งในจำนวนนี้ถือเป็นท่าเรือระหว่างประเทศที่มีความสำคัญ ส่วนในระดับสากลมีการลงทุนหรือการจัดการในท่าเรืออื่นๆ อีกประมาณกว่า 100 แห่ง หรืออย่างน้อยหนึ่งแห่งในทุกทวีป ยกเว้นแอนตาร์กติกา
ข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนทั่วโลกต้องรวบรวมจากหลายแหล่ง เนื่องจากไม่มีแหล่งหรือแพลตฟอร์มเดียวที่เผยแพร่โดยทางการจีน
ตำแหน่งทางภูมิรัฐศาสตร์นั้นสำคัญ
วันนี้โลกของเราเกิดการเปลี่ยนแปลงระดับดิสรับในทุกๆ ด้าน ทุกวงการอย่างรวดเร็ว โดยมีโควิด-19 เป็นตัวเร่ง รวมไปถึงปมขัดแย้งในขั้วการเมืองโลก ตั้งแต่สงครามการค้า (TradeWar) มาจนถึงสงครามเทคโนโลยี (TechWar) ระหว่างจีน สหรัฐ และตะวันตก มาจนถึงสงครามรัสเซีย - ยูเครน
ความเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์โลกทำให้เราต้องจับจ้องทุกฝีก้าวของมหาอำนาจโลก ว่าจะขยับไปทางไหนแน่นอนหนึ่งในนั้นคือ จีน ที่หลายคนมองว่าจะผงาดขึ้นมาเป็นชาติมหาอำนาจเหนือสหรัฐอเมริกาและตะวันตก จึงไม่แปลกหากหน่วยงานความมั่นคงหรือสื่อจากสองมหาอำนาจเก่านี้จะจับตามองจีนอย่างไม่กระพริบ
และล่าสุดกรณีที่บอลลูนจีนลอยโผล่ที่สหรัฐฯ ด้วยเหตุผลความผิดพลาดด้านการควบคุม ก็ดูเหมือนจะเป็นเหตุผลที่ไม่มีใครเชื่อ และไม่ว่าการเคลื่อนไหวด้วยเจตนาเหล่านี้จะพยายามเงียบเชียบปานใดก็ตาม แต่ทั้งหมดนี้ต่างคือเหตุการณ์ที่ทำให้ชาวโลกรู้ว่า สงครามที่ได้อุบัติขึ้นแล้วนั้นกำลังดำเนินต่อไปในทุกๆ รูปแบบ และปัญหาระหว่างสหรัฐและจีนนั้นไม่น่าจะจบลงง่ายๆ
มีการวิเคราะห์ว่า “ภูมิรัฐศาสตร์”กับการค้าและการลงทุนกำลังจะเป็นเรื่องเดียวกัน หากสถานการณ์สหรัฐและจีนยังตึงเครียดอยู่อย่างนี้ แล้วประเทศเล็กๆอย่างไทยจะเป็นอย่างไร
เรามาลองสำรวจยุทธศาสตร์กันจากการวิเคราะห์อันมากมายไม่รู้จบ จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ว่า ทางการจีนลงทุนไปกับท่าเรือทั่วโลกทั้งหมดด้วยปริมาณและเม็ดเงินมากมายแค่ไหน ดังนั้นเราจึงไม่ทราบความครอบคลุมทั้งหมด แต่โลกรู้ว่า การลงทุนเหล่านี้ล้วนมีความสำคัญทางการค้าและในเชิงยุทธศาสตร์มาก จนอาจกล่าวได้ว่าประเด็นทางภูมิรัฐศาสตร์มีความสำคัญเท่าเทียมกัน
9 ท่าเรือล้อมโลก
ท่าเรือที่อาจกล่าวได้ว่ามีความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์หรืออาจเป็นอุปสรรคทางการค้าและเป็นการลงทุนของจีน มีดังนี้ในภาพกว้างๆ :
พิราอุส (Piraeus) ของกรีซ ช่องแคบยิบรอลตาร์ ช่องแคบฮอร์มุซ คลองสุเอซ ช่องแคบบาเบล-มันดับ(ทะเลแดง เยเมน) ช่องแคบมะละกา ช่องแคบซุนดาร์ (อินโดนีเซีย) คลองปานามา กวาดาร์ (ปากีสถาน) ช่องแคบมะละกา (อินโดนีเซีย สิงคโปร์) ฮัมบันโตต้า (ศรีลังกา) จิบูตี (แหลมแอฟริกา)
ในขณะที่มีการลงทุนนอกชายฝั่งเพียงแห่งเดียวที่มีองค์ประกอบทางทหารคือที่ "จิบูตี" ถึงกระนั้น ความครอบคลุมทางภูมิรัฐศาสตร์ในระดับนี้ก็ไม่ได้ทำให้คู่แข่งสบายใจ อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรอง (ที่ไม่ใช่ชาวจีน) ระบุว่า มีความกังวลเนื่องจากท่าเรือสามารถใช้รวบรวมข่าวกรองทางเรือได้ “คุณสามารถติดตามตำแหน่งของเรือและการสื่อสารทั้งหมดได้ คุณสามารถทำทุกอย่างที่คุณต้องการ เพราะคุณเป็นเจ้าของบ้านที่นี่ (ท่าเรือ)”
ซูมชัดๆ เส้นสายยุทธศาสตร์ทางทะเลนี้เคลื่อนไหวผ่านจุดสำคัญทางทะเลหลายจุด รวมถึง ศูนย์กลางการเดินเรือทางยุทธศาสตร์อื่นๆ เช่น 1. ช่องแคบมันดับ (ระหว่างเยเมนและคาบสมุทรอาหรับ) 2. ช่องแคบมะละกา(สิงคโปร์) 3. ช่องแคบฮอร์มุซ (ระหว่างอ่าวเปอร์เซียและอ่าวโอมาน) 4. ช่องแคบลอมบอก (เชื่อมระหว่างทะเลชวาและมหาสมุทรอินเดีย) 5. เมืองท่ากวาดาร์ (ปากีสถาน) 6. ท่าเรือฮัมบันโตต้า (ศรีลังกา) 7. เมืองท่าจิตตะกองของบังกลาเทศ 8.เมืองเจียวเพียว (ทางตะวันตกของพม่าในรัฐยะไข่) 9. จิบูตี (แหลมแอฟริกา)
(ดูแผนที่ประกอบ)
นักวิเคราะห์หลายคนในอินเดียเชื่อว่า String of Pearls ร่วมกับ “ระเบียงเศรษฐกิจจีน-ปากีสถาน” และส่วนอื่นๆ ของยุทธศาสตร์ “One Belt One Road” (OBOR) หรือยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหมใหม่ภายใต้อำนาจประธานาธิบดีสีจิ้นผิง เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงแห่งชาติของอินเดีย
มีการวิเคราะห์ว่า String of Pearls จะโอบล้อมอินเดีย และคุกคามการขยายอำนาจ การค้า และบูรณภาพแห่งดินแดน นอกจากนี้การสนับสนุนของจีนต่อปากีสถานซึ่งเป็นศัตรูดั้งเดิมของอินเดีย ผ่านท่าเรือกวาดาร์ (ตั้งอยู่ในทะเลอาหรับในจังหวัดบาโลจิสถานของปากีสถาน) ซึ่งถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามบวกกับความกลัวว่าจีนอาจพัฒนาฐานทัพเรือโพ้นทะเลในกวาดาร์ของปากีสถาน ซึ่งอาจทำให้จีนทำสงครามในมหาสมุทรอินเดียได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนท่าเรือน้ำลึกจอก์พยู เมืองใหญ่ในรัฐยะไข่ทางตะวันตกของเมียนมาร์ก็ถูกมองด้วยความกังวลไม่ต่างกัน ด้วยเหตุนี้ อินเดียจึงเคลื่อนไหวเพื่อตอบโต้ภัยคุกคามดังกล่าว
แม้รัฐบาลจีนจะยืนยันว่า กลยุทธ์ทางทะเลที่กำลังขยายตัวของจีนนี้เป็นไปอย่างสันติและมีไว้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าในภูมิภาคเท่านั้น และทั้งหู จิ่นเทา และ สี จิ้นผิงต่างก็เคยออกมายืนยันว่า จีนจะไม่แสวงหาความเป็นเจ้าโลกในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และการวิเคราะห์ในปี 2013 โดย The Economist ก็ยังพบว่า ความเคลื่อนไหวของจีนมีลักษณะเป็นการค้าจริงๆ
บ้างก็ว่า จุดเริ่มต้นของ String of Pearls มาจากการที่ฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐฯ ได้วิเคราะห์แนวคิดนี้ของจีนและใช้คำเรียกการรุกคืบทางทะเลของจีนว่า “ยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุก” เผยแพร่ครั้งแรกโดยนาวาอากาศโท Christopher J. Pehrson แห่งกองทัพอากาศสหรัฐฯ ในบทความ “String of Pearls: Meeting the Challenge of China’s Rising Power across the Asian littoral” ตีพิมพ์ในเดือนกรกฎาคม 2006
โดยได้เปรียบเทียบการที่จีนออกไปขอเช่าหรือสร้างท่าเรือและฐานทัพทางทะเล/ฐานทัพอากาศในหลายประเทศว่า เปรียบเสมือนเป็น “ไข่มุก” แต่ละเม็ดที่จีนค่อยๆ เรียงร้อยเอาไว้จนกลายเป็นสายสร้อยไข่มุกยาวเรียงรายมายังแผ่นดินจีน ครอบคลุมเส้นทางทะเลจากภูมิภาคตะวันออกกลาง ทะเลอาหรับ ทะเลอันดามัน มาจนถึงทะเลจีนใต้ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเส้นทางหลักในการลำเลียงวัตถุดิบและพลังงานเพื่อมาป้อนเศรษฐกิจจีนที่โตวันโตคืน
บทวิเคราะห์โดย ดร.อักษรศรี พานิชสาส์นผู้เชี่ยวชาญจีนศึกษาได้เคยบอกว่า แม้ว่าผู้นำจีนไม่เคยยอมรับเรื่อง“ยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุก” อย่างเป็นทางการ แต่พญามังกรจีนก็ค่อยๆ ทยอยรุกคืบออกไปสร้างฐานอำนาจทางทะเลในดินแดนหลายประเทศริมชายฝั่ง ทั้งในรูปแบบของการช่วยเหลือสนับสนุนทางการเงิน การสร้างความสัมพันธ์ทางการทูต การออกไปช่วยก่อสร้าง/การเปิดให้บริการท่าเรือในประเทศชายฝั่งเหล่านั้น รวมไปถึงการเข้าไปช่วยปรับปรุงสนามบินหลายแห่ง เพื่อรองรับปฏิบัติการทางทหารและการเข้าถึงท่าเรือ/สนามบินดังกล่าวหากจำเป็น เพื่อการปกป้องเส้นทางขนส่งพลังงานของจีนนั่นเอง
ไข่มุกเม็ดงามในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ตัวอย่างเม็ด “ไข่มุก” ของจีนที่เรียงรายไปตามมหาสมุทรอินเดีย เช่น เมืองท่าจิตตะกองของบังกลาเทศ เมืองท่ากวาดาร์ (Gwadar) ของปากีสถาน เมืองท่าในเขตฮัมบันโตตาและท่าเรือที่กรุงโคลอมโบในศรีลังกา ไปจนถึงท่าเรือในอ่าวเปอร์เซีย และท่าเรือซูดานในแอฟริกา
แม้จีนจะมีพื้นที่กว้างใหญ่แค่ไหน แต่ก็มีจุดอ่อนจากการมีทางออกทะเลเพียงด้านเดียว คือ มหาสมุทรแปซิฟิก ดังนั้น ในการขนส่งค้าขายกับคู่ค้าหลักอันดับหนึ่งอย่างสหภาพยุโรป จีนก็ต้องเดินเรือทะเลไปอ้อมช่องแคบมะละกา รวมไปถึงการขนส่งพลังงานสำคัญจากตะวันออกกลางก็ต้องไปอ้อมช่องแคบมะละกาอีกเช่นกัน ทำให้เจ้าช่องแคบมะละกานี้เป็นดั่ง “ชีพจรทางทะเล” ของจีน การพึ่งพาและพึ่งพิงช่องแคบนี้มากเกินไป ย่อมเป็นความเสี่ยง รัฐบาลจีนจึงได้พยายามหาทางออกสู่ทะเลอีกด้าน และในที่สุด ก็ตัดสินใจเลือกที่จะใช้เส้นทางผ่านกลางประเทศพม่าเพื่อออกสู่มหาสมุทรอินเดีย
ดังนั้น จีนจึงได้เข้าไปทุ่มเทงบประมาณลงทุนและช่วยเหลือพม่าในหลากหลายโครงการอย่างครบวงจร รวมทั้งอภิมหาโครงการพัฒนาเมืองชายฝั่งของพม่า จนทำให้พม่ากลายเป็นประเทศในอาเซียนที่รองรับเงินลงทุนจากจีนมากติดอันดับ 2 เป็นรองแค่สิงคโปร์เท่านั้น
ดินแดนในพม่าที่เป็นเสมือนเม็ด "ไข่มุก" ของจีนภายใต้ยุทธศาสตร์นี้อยู่ที่เมืองเจียวเพียว (ภาษาจีนกลาง) หรือจ้าวผิ่ว (Kyaukpyu) ในภาษาพม่า ตั้งอยู่แถวอ่าวเบงกอลในทะเลอันดามันทางตะวันตกของพม่าในรัฐยะไข่ (Rakhine) ไม่ไกลจากเมืองชิตตะเว่ (Sittwe) มากนัก
“One Belt One Road” กับ “String of Pearls”
เป็นที่รู้กันว่า หนึ่งในสองนโยบายสำคัญของประเทศจีนคือ One belt One Road หรือ หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทางซึ่งเปรียบเสมือน "เส้นทางสายไหมใหม่" ซึ่งมีรากฐานมาจากเส้นทางสายไหมในอดีตที่จะเชื่อมความเจริญทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศระหว่างทวีปเอเชีย ยุโรป และแอฟริกา ทั้งเส้นทางบนบกและทางทะเล โดยจีนมียุทธศาสตร์ในการให้ความสนับสนุนทางการเงินเพื่อการพัฒนาเส้นทางเหล่านี้ จนเกิดเป็นข้อครหาของการสร้างการทูตกับดักหนี้ (debt trap diplomacy)
และอีกหนึ่งนโยบายที่มีความสำคัญและสะเทือนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและสั่นคลอนความเป็นมหาอำนาจไม่แพ้กันคือ “ยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุก”
มีการวิเคราะห์ว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จีนขยายฐานในมหาสมุทรอินเดียผ่าน "การทูตกับดักหนี้" และ“ยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุก” ด้วยหลักฐานจากภาพถ่ายดาวเทียมที่บ่งชี้ว่า จีนกำลังปรับปรุงฐานทัพจิบูตีของตนให้ทันสมัย และด้วยนโยบายกับดักหนี้ จีนหลอกล่อประเทศที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์รอบอินเดียให้ยืมเงินกู้โครงสร้างพื้นฐาน เมื่อประเทศต่างๆ เป็นหนี้ จีนจะกดดันให้สนับสนุนผลประโยชน์ทางภูมิยุทธศาสตร์
ตัวอย่าง เส้นทางรถไฟลาว-จีนเป็นอีกหนึ่งโครงการ "จีนสร้าง" ที่ถูกกล่าวหาว่า ทำให้ลาวต้องตกอยู่ในกับดักหนี้ หรือ Debt-trap ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่บางประเทศโดยเฉพาะที่เป็นคู่กรณีกับจีนอ้างว่า จีนมีเจตนาทำให้ประเทศเหล่านั้นเป็นหนี้ตนโดยยัดเยียดโครงการพัฒนาต่างๆ นานาที่มีมูลค่ามหาศาลให้ โดยที่ประเทศเหล่านั้นไม่สามารถชำระหนี้ได้ก็ต้องนำ "สิ่งสำคัญระดับชาติ" มาจำนองไว้ ทำให้จีนได้เปรียบในการต่อรอง/บงการประเทศนั้นๆ ในอนาคต
คำว่า Debt-trap นี้ถูกใช้โดยนักวิชาการชาวอินเดีย ชื่อ พรหมา เฉลานี (Brahma Chellaney) หลังจากนั้นก็แพร่หลายอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่เป็นมิตรกับจีน
หรือแม้แต่ทุนจีนที่ทุ่มไปกับเมืองท่า “สีหนุวิลล์” ซึ่งจีนต้องการปั้นให้เป็น “เสิ่นเจิ้นแห่งกัมพูชา” และรัฐบาลกัมพูชาก็อยากสร้างให้เป็น “มาเก๊าแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
แต่เวลานี้ชาวโลกทุกคนรับรู้ว่า “สีหนุวิลล์” เปลี่ยนแปลงไปสิ้นแล้ว เมื่อทุนจีนม้วนเสื่อหอบเงินทุนกลับบ้านโครงการก่อสร้างจำนวนนับพันแห่งต้องกลายเป็นโครงการร้างที่สร้างไม่แล้วเสร็จ
ว่ากันว่า ด้วยกลยุทธ์ String of Pearls จีนกำลังขยายขอบเขตเพื่อยึดครองดินแดนของอินเดียในมหาสมุทรอินเดีย ด้วยการสร้างวงแหวนรอบอินเดียผ่านประเทศที่วางยุทธศาสตร์ เช่น ที่จิตตะกอง (บังกลาเทศ) ที่การาจีท่าเรือกวาดาร์ (ปากีสถาน) และที่โคลัมโบ ฮัมบันโตตา (ในศรีลังกา)
การเชื่อมร้อยของสร้อยไข่มุกและสายไหมเหล็ก
และเมื่อพูดถึงสร้อยไข่มุกยุทธศาสตร์ทางทะเล ย่อมเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่พูดถึง การปลุกฟื้นคืนชีพ “เส้นทางสายไหม” ที่ประสบความสำเร็จในระดับโลก จากเส้นทางสายไหมสายเก่าในยุคโบราณ กลายเป็น เส้นทางสายไหมใหม่ หรือ New Silk Road ในยุคสีจิ้นผิง ที่เข้ามาปลุกฟื้นผลักดันโครงการเครือข่ายรถไฟสายไหมเหล็ก เชื่อมโยงแนวรถไฟจากดินแดนจีนตะวันตกไปยังประเทศต่างๆ ตามแนวเส้นทางสายไหมเดิม
หากดูจากแผนที่สมมติที่ลากจากนครซีอาน ไปจนถึงดินแดนซินเจียงสุดขอบประเทศ ทะลุผ่านซามาคานด์(อุซเบกิสถาน) เตหะราน (อิหร่าน) อิสตันบูล (ตุรกี) วกไปมอสโคว์ในรัสเซีย จนถึงเมืองท่ารอสเตอร์ดัมของเนเธอร์แลนด์
สำหรับเส้นทางรถไฟ Iron Silk Road จากซินเจียงตามแนว “ระเบียงเศรษฐกิจจีน-ปากีสถาน” คาดว่าจะมีความยาวกว่า 1,800 กิโลเมตร เชื่อมตรงจากเมืองคาสือ (คาชการ์) ของซินเจียงไปจนถึงท่าเรือน้ำลึกกวาดาร์ของปากีสถานและเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุกของจีนในการพยายามหาทางออกทะเลให้กับมณฑลที่เป็นแลนด์ล็อคทางตะวันตกของจีนด้วย
ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น และดร.หลี่ เหรินเหลียงได้เคยวิเคราะห์ไว้ว่า รัฐบาลจีนต้องการผลักดันยุทธศาสตร์ใหญ่ “One Belt, One Road” เพื่อขจัดจุดอ่อนของซินเจียง ดินแดนไกลปืนเที่ยงแลนด์ล็อคห่างไกลทะเล และยังคงมีระดับการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยังต่ำกว่ามณฑลทางชายฝั่งทะเลของจีน รวมทั้งยังคงมีประเด็นอ่อนไหวทางด้านความมั่นคง จากเหตุการณ์ก่อการร้ายที่เกิดขึ้นในซินเจียงบ่อยครั้ง ผู้นำจีนจึงย่อมจะให้ความสำคัญกับซินเจียงเป็นพิเศษ และผลักดันการพัฒนาซินเจียง โดยผ่านนโยบายและมาตรการต่างๆ
การผลักดันให้ซินเจียงมีบทบาทเป็น Asia-Europe Land Bridge เพื่อเชื่อมโยงมณฑลจีนตะวันตกกับประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียกลาง เอเชียใต้ไปจนถึงยุโรป ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการคมนาคมขนส่งโลจิสติกส์ โดยใช้ม้าเหล็กรถไฟ Iron Silk Road เป็นตัวขับเคลื่อนจึงยังเป็นเรื่องท้าทายและต้องติดตามกันต่อไป
ตำแหน่งทางภูมิรัฐศาสตร์ การลงทุนทั่วโลกทั้งหมดโดยทางการจีนหรือบริษัทจีนไม่เป็นที่รู้จัก ดังนั้นจึงไม่ทราบความครอบคลุมทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม การวางตำแหน่งของการลงทุนของจีนในที่สาธารณะและมีความสำคัญระดับนานาชาติมากกว่าดูเหมือนจะมีองค์ประกอบทางภูมิรัฐศาสตร์สำหรับพวกเขาอย่างแน่นอน แม้ว่าการลงทุนเหล่านี้มีความสำคัญทางการค้าและเชิงกลยุทธ์มาก แต่ก็อาจกล่าวได้ว่าประเด็นทางภูมิรัฐศาสตร์มีความสำคัญเท่าเทียมกัน
และผู้วิจารณ์เรื่อง BRI (Belt and Road Initiative) ทางทะเลใช้ประเด็นทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นพื้นฐานในการวิจารณ์ ท่าเรือที่อาจกล่าวได้ว่ามีความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์หรือเป็นอุปสรรคทางการค้าและเป็นการลงทุนของจีน มีดังนี้: - พิราอุส (กรีซ) ช่องแคบยิบรอลตาร์; ช่องแคบฮอร์มุซ; คลองสุเอซ; ช่องแคบบาเบล-มันดับ (ทะเลแดง เยเมน); ช่องแคบมะละกา: ช่องแคบซุนดาร์ (อินโดนีเซีย); คลองปานามา; กวาดาร์ (ปากีสถาน); ช่องแคบมะละกา (อินโดนีเซีย สิงคโปร์); ฮัมบันโตต้า (ศรีลังกา); จิบูตี (เขาแห่งแอฟริกา)
ในขณะที่มีการลงทุนนอกชายฝั่งเพียงแห่งเดียวที่มีองค์ประกอบทางทหารคือ จิบูตี ถึงกระนั้น ความครอบคลุมทางภูมิรัฐศาสตร์ในระดับนี้ก็ไม่ได้ทำให้คู่แข่งสบายใจ
อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรอง (ที่ไม่ใช่ชาวจีน) เกิดความกังวลโดยให้เหตุผลว่า เนื่องจากท่าเรือสามารถใช้รวบรวมข่าวกรองทางเรือได้ “คุณสามารถติดตามตำแหน่งของเรือและการสื่อสารได้ คุณสามารถทำทุกอย่างที่คุณต้องการเพราะคุณเป็นเจ้าของบ้านที่นี่”
อ้างอิง:
https://www.posttoday.com/hits/666047
https://www.bangkokbiznews.com/blogs/columnist/110200
https://www.bangkokbiznews.com/blogs/columnist/101380
https://en.m.wikipedia.org/wiki/String_of_Pearls_(Indian_Ocean)
https://ditp.go.th/contents_attach/209833/209833.pdf
https://asiancenturyinstitute.com/economy/1719-chinese-container-ports#:~:text=China%20has%2034%20container%20ports,in%20every%20continent%2C%20except%20Antarctica