posttoday

กลยุทธ์การดึงมวลชนของแต่ละฝ่ายในเมียนมา

11 กันยายน 2564

คอลัมน์ เปิดประตูค้าชายแดน

วันนี้ก่อนที่ผมจะเขียนเรื่องนี้ ผมตั้งใจว่าจะนำเรื่องของชาวเมียนมาโพ้นทะเลมาเล่าต่อ เพราะยังมีอีกเยอะแยะที่น่าสนใจ ยังมีเรื่องราวที่เราคนไทยคาดไม่ถึง ที่ชาวเมียนมามีจิตใจเข้มแข็ง เลือดนักสู้ของชาวอาเชียนเลยละครับ 

แต่เกิดมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 7 กันยายนที่ผ่านมาไม่กี่วันนี่แหละครับ ที่จู่ๆกลุ่มรัฐบาลเงาหรือที่เรียกตัวเองว่า NUG ได้ออกมาประกาศว่า นับจากวันที่ 7 นี้เป็นต้นไป กองกำลังกู้ชาติอิสระหรือ PDF ขอประกาศการทำสงครามเพื่อปล่อยประเทศเมียนมากับรัฐบาลเมียนมาชุดของท่านนายพลอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ทุกรูปแบบ 

และขอให้ประชาชนเมียนมา ทั้งที่รับราชการและทำงานบริษัทเอกชนจงอยู่แต่ในบ้าน อย่าออกไปทำงาน หากใครฝ่าฝืนจะไม่รับรองความปลอดภัย ซึ่งการประกาศดังกล่าว สร้างความตื่นตระหนกต่อสุจริตชน ที่ทำมาหากินกันอยู่อย่างไม่ต้องสงสัยครับ 

ผมจึงขออนุญาตนำเรื่องนี้มาวิเคราะห์ขั้นรายการก่อนอีกสักตอนนะครับ แต่ต้องขอออกตัวก่อนนะครับว่า สิ่งที่ผมวิเคราะห์ให้อ่านนี้ เป็นการวิเคราะห์ด้วยใจเป็นกลาง ฝ่ายรัฐบาลก็อย่าได้ถือโทษโกรธเคือง 

ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลกก็อย่าได้จริงจังกับสิ่งที่ผมพูดมากนัก ให้ถือเสียว่านี่คือมุมมองของชาวต่างชาติที่พอจะรู้เรื่องของเมียนมาบ้างคนหนึ่งก็พอนะครับ ซึ่งมองลึกๆแล้วอาจจะเป็นกระจกเงาส่องให้ทุกฝ่ายได้เห็นภาพมุมมองที่เป็นประโยชน์ก็ได้ครับ

ในช่วงแรกของการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นใหม่ๆเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์นั้น ทางส่วนของผู้ที่เสียผลประโยชน์แน่นอนต้องเป็นพรรค NLD ของท่านดอร์ ออง ซาน ซูจี เพราะสมาชิกพรรคหลายราย 

รวมทั้งตัวผู้นำพรรคถูกออกหมายจับและถูกจับกุมไปเสียเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่ประชาชนที่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับประชาธิปไตยที่ห่างหายไปนานหลายสิบปี ได้กลับมาสู่สังคมอีกครั้ง 

ดังนั้นหลายๆคนต่างก็ไม่อยากที่จะกลับไปสู่การปกครองแบบเดิมๆ จึงได้ลงสู่ท้องถนนเดินขบวนกัน จนกระทั่งเกิดกลุ่มก้อนของ CDM หรือชนชาวอาริยะขัดขืนเกิดขึ้น แน่นอนว่านอกจากคนหนุ่มสาวแล้ว ก็ยังมีนักการเมืองที่สูญเสียอำนาจไปแล้วเข้าร่วมสู่ขบวนการนี้ด้วย 

จากนั้นทางฝั่งของรัฎฐาธิปัตย์หรือทหารที่ออกมาทำการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ก็ไม่ยินยอมให้เกิดขบวนการเช่นนี้ จึงได้ออกมาปราบปรามด้วยกำลังที่ลงมือลงไม้รุนแรงมาก จนกระทั่งบาดเจ็บล้มตายกันไปไม่น้อย 

ในช่วงนั้น ทางชาติตะวันตกเองก็ได้ออกมาหนุนหลังผู้ชุมนุมแบบออกหน้าออกตากัน ได้พากันออกมาแซงชั่นด้วยการประณามรัฐบาลเมียนมา แต่ก็ไม่ประสบผลตามที่ต้องการ จนเข้าสู่การแซงชั่นระดับสองเกิดขึ้น ซึ่งก็เป็นการแซงชั่นเป็นรายบุคคลต่อผู้นำกองทัพเมียนมา 

แต่ด้วยรัฐบาลบางประเทศในเอเชียเขาไม่เอาด้วย เพราะด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม ทำให้แรงหนุนของรัฐบาลเมียนมาเริ่มกลับมาดีวันดีคืนขึ้นตามลำดับ แรกๆเลยทางฝั่งของสมาชิกอาเชียนบางประเทศก็ได้ออกมาร่วมขบวนการประณามตามหลังชาติตะวันตก 

แต่ด้วยประเทศมหาอำนาจชาติเอเชียยังคงหนุนอยู่ ทำให้แรงกดดันจากสมาชิกชาติอาเชียน ก็เริ่มที่จะอ่อนแรงตามไปด้วย 

พอเริ่มมีการประชุมผู้นำชาติอาเชียน ที่มีประเทศเมียนมาเป็นหนึ่งในสมาชิก 10 ชาติด้วย ตอนแรกที่ดูขึงขัง ดีอยู่หรอก แต่พอท่านนายพลอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ได้เข้าไปร่วมประชุมด้วยตามคำเชิญ และได้รับปากว่ายินดีให้ผู้แทนแห่งชาติอาเชี่ยน เข้าไปดำเนินการด้านสันติภาพในประเทศเมียนมาได้ 

ทุกอย่างก็ดูจะเข้าทางของรัฐบาลเมียนมาไปเสียหมดเลยครับ และยิ่งช่วงนี้การจัดการโรคระบาด COVID-19 กำลังดำเนินไปด้วยดี จากตัวเลขที่ดูดีขึ้นทุกวัน (จากรายงานของสถานฑูตไทยประจำเมียนมาส่งมาให้) และเริ่มมีคนระดับรัฐมนตรีของชาติต่างๆเริ่มเดินแถวเข้าไปสู่ประเทศเมียนมา ก็เริ่มที่จะทำให้การยอมรับของรัฐบาลนี้เริ่มดีขึ้นนั่นเอง

ทางฝากฝั่งของผู้ที่ไม่ยอมรับรัฐบาลชุดนี้ สิ่งที่ทางพรรคที่สูญเสียอำนาจเริ่มดำเนินการ คือ การประกาศจัดตั้งรัฐบาลคู่ขนาน หรือที่ใช้ชื่อย่อว่า NUG ก็เริ่มที่จะมองเห็นเค้ารางที่ถดถอยของกลุ่มผู้ชุมชุมประท้วงหรือ CDM จึงได้มีการสนับสนุนให้คนหนุ่มสาวที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่สวนทางกับรัฐบาล เข้าป่าไปฝึกซ้อมรบกับกลุ่มกองกำลังชาติพันธ์บางกลุ่ม 

และสถาปณาชื่อกลุ่มนี้ว่า PDF หลังจากเข้าป่าไปฝึกจนชำนาญ ก็ออกจากป่ามาเริ่มปฎิบัติการบางอย่าง ทำให้ชาวบ้านได้ยินเสียงระเบิดบ่อยขึ้น แต่ทางฝากฝั่งรัฐบาลก็เริ่มต้นคลำทางไปไล่ล่ามากขึ้น 

จนเกิดวันยุทธการถล่ม PDF ที่กลางห้องประชุมใจกลางเมืองมัณฑะเลย์ จนมีบาดเจ็บและผู้เสียชีวิตหลายราย ถูกกุมตัวไปก็หลายคนเช่นกัน

เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ บวกกับการมีเหตุการณ์ปฎิวัติที่ประเทศกีนี และเหตุการณ์ถอนทหารของอเมริกันที่อัฟกานิสถาน ซึ่งในเดือนนี้ จะมีการประชุม Assembly Meeting ของยูเอ็นฯ ทำให้ทางฝั่งของ NUG จะต้องดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อไม่ให้ตกเทรนของวาระการประชุมดังกล่าว 

ซึ่งเชื่อว่าถ้าการประชุมของ UN ครั้งนี้ไม่มีการบรรจุสถานการณ์ของประเทศเมียนมาเข้าไปในวาระการประชุม นั่นจะทำให้เกิดความชอบธรรมในการบริหารประเทศของรัฐบาลท่านพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย เกิดขึ้นทันทีครับ จึงได้มีการวางหมากกลในการแย่งชิงมวลชนเกิดขึ้นในสถานการณ์ปัจจุบันทันทีครับ

สิ่งที่จะตามมา เราในฐานะคนรักเมียนมา คงต้องติดตามเฝ้าดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิดครับ ขออย่าให้เกิดความรุนแรงตามคำประกาศของ NUG เลยครับ 

เอาแค่หอมปากหอมคอเถอะครับ เพราะแค่นี้ชาวบ้านก็จะอยู่กันไม่ค่อยได้อยู่แล้วครับท่าน......