เจ้าหญิงกับศึกชิงบัลลังก์อิตาลีเพื่อราชวงศ์ที่ถูกโค่นล้ม
แม้ว่าอิตาลีจะยกเลิกระบบกษัตริย์ไปตั้งแต่ 75 ปีที่แล้ว แต่การไม่มีอำนาจที่แท้จริงก็ไม่ได้หยุดยั้งราชวงศ์ซาวอยจากการแย่งชิงบัลลังก์ (ที่ไม่มีแล้ว)
ทายาทสายตรงของกษัตริย์อุมแบร์โตที่ 2 (Umberto ll) กษัตริย์องค์สุดท้ายของอิตาลีต่างก็ถกเถียงกันว่าใครควรขึ้นมาเป็นประมุขของราชวงศ์ซาวอย (House of Savoy)
ตามธรรมเนียมเดิมที่บังคับใช้มาเป็นพันๆ ปีกำหนดให้ผู้ชายเท่านั้นที่จะได้เป็นประมุขของราชวงศ์ แต่เมื่อปี 2019 กฎนี้ได้เปลี่ยนไปเมื่อเจ้าชายวิตโตริโอ เอ็มมานูเอล ดิ ซาวอย (Prince Vittorio Emanuele di Savoia) ดยุคแห่งซาวอยและเจ้าชายแห่งเนเปิลส์ ประมุขคนปัจจุบันของราชวงศ์ซาวอย ประกาศยกเลิกกฎที่ไม่ให้ผู้หญิงสืบราชสมบัตินี้ เปิดโอกาสให้พระนัดดาซึ่งมีแต่ผู้หญิงมีโอกาสสืบราชตระกูลได้
ประกาศนี้ส่งผลให้ เจ้าหญิงวิตตอเรีย ดิ ซาวอย (Princess Vittoria di Savoia) เจ้าหญิงแห่งคารินญาโน พระธิดาองค์โตของเจ้าชายเอ็มมานูเอล ฟิลิแบร์โต เจ้าชายแห่งเวนิส (Prince Emanuele Filiberto) พระโอรสองค์เดียวในเจ้าชายวิตโตริโอ คือเจ้าหญิงองค์แรกในรอบ 1,000 ปีที่อยู่ในลำดับที่จะขึ้นเป็นประมุขแห่งราชวงศ์ซาวอยในอนาคต และหากอิตาลียังมีสถาบันกษัตริย์อยู่ก็อาจได้เป็นสมเด็จพระราชินีนาถพระองค์แรกเช่นกัน
การขึ้นมาอยู่ในลำดับการสืบราชตระกูลของเจ้าหญิงวิตตอเรียเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สมาชิกราชวงศ์หญิงของยุโรปอยู่ในลำดับที่จะขึ้นครองบัลลังก์ ไม่ว่าจะเป็นสเปน เบลเยียม หรืออย่างอังกฤษที่มีสมเด็จพระราชินีนาถ ถึงอย่างนั้นก็มีเสียงคัดค้านการสืบราชวงศ์ของเจ้าหญิงวิตตอเรียวัย 17 ปีซึ่งเป็นอินฟลูเอนเซอร์ในอินสตาแกรมด้วย
ทว่าในรัสเซีย สมาชิกราชวงศ์อิตาลีอีกสายหนึ่งปฏิเสธกฎที่เจ้าชายวิตโตริโอประกาศ โดยเจ้าชายไอโมเน ดิ ออสตา (Prince Aimone di Aosta) ซึ่งเป็นญาติห่างๆ ของเจ้าหญิงวิตอเรียเผยกับ The New York Times ว่า การอ้างสิทธิ์ของเจ้าหญิงวิตตอเรีย “ผิดกฎหมายโดยสิ้นเชิง”
การแย่งชิงตำแหน่งประมุขของราชวงศ์ระหว่างซาวอยและออสตาไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่ดำเนินมานานหลายทศวรรษแล้ว โดยมีรายงานว่าเจ้าชายวิตโตริโอถึงขั้นต่อยกับหนึ่งในญาติที่ทะเลาะกันเรื่องนี้ในพิธีเสกสมรสของว่าที่กษัตริย์สเปน
ทว่าสิ่งที่ย้อนแย้งท่ามกลางดราม่านี้คือ ไม่มีบัลลังก์จริงให้ลูกหลานกษัตริย์แย่งชิงกันแล้ว เพราะอิตาลียกเลิกระบบกษัตริย์แล้วเปลี่ยนมาสู่ระบบสาธารณรัฐมาตั้งแต่ปี 1946
เดิมทีอิตาลีปกครองด้วยระบอบราชาธิไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี 1861 แต่ชาวอิตาลีเริ่มหันหลังให้ระบอบกษัตริย์ในสมัยของกษัตริย์วิกเตอร์ เอ็มมานูเอลที่ 3 (King Victor Emmanuel III)
ชาวอิตาลีกล่าวหาว่ากษัตริย์วิกเตอร์คือต้นเหตุแห่งความหายนะของอิตาลี โดยในปี 1922 กองกำลังคนชุดดำของกลุ่มฟาสซิสต์นำโดย เบนิโต มุสโสลินี เตรียมเคลื่อนกำลังสู่กรุงโรม พระองค์ได้ปฏิเสธที่จะลงนามในพระราชกฤษฎีกาตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรีเพื่อประกาศกฎอัยการศึก ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการยับยั้งการยึดอำนาจของกลุ่มฟาสซิสต์
กษัตริย์วิกเตอร์ยังปล่อยให้มุสโสลินีทำการต่างๆ ตามอำเภอใจโดยไม่ทักท้วง รวมทั้งการลอบสังหาร จาโกโม มัตเตออตติ นักการเมืองฝ่ายสังคมนิยมชาวอิตาลีในปี 1924 11 วันหลังจากที่เขาแฉกลางสภาว่าฝ่ายฟาสซิสต์โกงการเลือกตั้งและใช้ความรุนแรงเพื่อให้ได้คะแนนเสียง
นอกจากนี้ กษัตริย์วิกเตอร์ยังลงนามรับรองกฎหมายเกี่ยวกับเชื้อชาติของฟาสซิสต์ในปี 1938 ที่พุ่งเป้าไปที่ชาวยิวโดยเฉพาะจนนำมาสู่การเนรเทศชาวยิวออกนอกประเทศและการเสียชีวิตของชาวยิวในค่ายกักกันของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ รวมทั้งอนุญาตให้มุสโสลินีนำพาอิตาลีเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ร่วมกับฝ่ายอักษะ
ความไม่พอใจในตัวกษัตริย์วิกเตอร์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนในปี 1946 รัฐบาลอิตาลีตัดสินใจทำประชามติถามความเห็นประชาชนว่าต้องการคงระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญต่อไปหรือเปลี่ยนประเทศเป็นสาธารณรัฐ
ทว่าวันที่ 9 พ.ค. 1946 ก่อนการลงประชามติเพียง 3 สัปดาห์ กษัตริย์วิกเตอร์ตัดสินใจสละบัลลังก์แล้วให้ อุมแบร์โต นิโกลา ทอมมาโซ จิโอวานนี มาเรีย ดิ ซาวอย พระโอรสเพียงองค์เดียวขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อในนาม กษัตริย์อุมแบร์โตที่ 2 (King Umberto II) ด้วยความหวังว่าจะช่วยกอบกู้ชื่อเสียงและความนิยมของราชวงศ์กลับมาได้บ้าง
แต่วิธีดังกล่าวไม่ได้ผล สุดท้ายวันที่ 2 มิ.ย. 1946 ชาวอิตาลีก็ตัดสินใจเลือกระบอบสาธารณรัฐแทนที่ระบอบกษัตริย์ด้วยคะแนนเสียง 54% (12,717,923 คะแนน) ต่อ 46% (10,719,284 คะแนน) แม้ว่าคนใต้จำนวนมาก รวมถึงชาวเนเปิลส์กว่า 80% จะลงคะแนนสนับสนุนระบอบกษัตริย์ แต่ในภาคเหนือที่มีประชากรหนาแน่นกว่า ส่วนใหญ่เทใจให้กับระบอบสาธารณรัฐ
ด้วยเหตุนี้กษัตริย์อุมแบร์โตที่ 2 ที่ครองราชย์ได้เพียง 34 วัน รวมทั้งอดีตกษัตริย์วิกเตอร์ และสมาชิกราชวงศ์ชายองค์อื่นๆ ต้องลี้ภัยจากอิตาลี โดยอดีตกษัตริย์วิกเตอร์ลี้ภัยไปยังเมืองอเล็กซานเดรียของอียิปต์ ส่วนกษัตริย์อุมแบร์โตที่ 2 กษัตริย์องค์สุดท้ายของอิตาลีลี้ภัยไปยังเมืองเจนีวาของสวิตเซอร์แลนด์
ถือเป็นอันสิ้นสุดการปกครองระบอบราชาธิไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญที่ดำเนินมา 85 ปี โดยอิตาลีจะไม่กลับไปอยู่ภายใต้ระบอบกษัตริย์อีกเนื่อง เนื่องจากรัฐธรรมนูญบัญญัติห้ามไว้ และอีกเหตุผลหนึ่งคือ ราชวงศ์ซาวอยยอมสละราชสมบัติอย่างเป็นทางการแลกกับการยุติการลี้ภัยเพื่อกลับอิตาลีในปี 2002
ปี 2002 รัฐบาลอิตาลีภายใต้การบริหารของนายกรัฐมนตรีฝ่ายขวา ซิลวิโอ แบร์ลุสโกนี ผลักดันให้สภายกเลิกข้อห้ามการเดินทางกลับประเทศของราชวงศ์ซาวอยในรัฐธรรมนูญ เปิดช่องให้เจ้าชายวิตโตริโอ และมารินา ดอเรีย ชายา พร้อมด้วยเจ้าชายเอ็มมานูเอล ฟิลิแบร์โต พระโอรส กลับอิตาลีในปี 2003
ทว่าการกลับมาครั้งนี้ต้องเผชิญกับการประท้วงของชาวอิตาลีที่ยังหลงเหลือความไม่พอใจต่อสถาบันกษัตริย์ รวมทั้งมีการเรียกร้องให้ราชวงศ์ซาวอยขอโทษกับสิ่งที่เคยทำไว้กับชาวอิตาลี
ขณะที่ The New York ระบุว่า แม้ว่าเจ้าชายเอ็มมานูเอล ฟิลิแบร์โต พระบิดาของเจ้าหญิงวิตตอเรียจะอ้างว่า หลายคนมองว่ามีโอกาสที่ระบอบราชาธิปไตยของอิตาลีจะกลับมา แต่ The New York Times รายงานว่าชาวอิตาลีไม่สนใจเรื่องการกลับมาของราชวงศ์ โดยชาวเมืองคารินญาโนซึ่งเป็นบ้านเกิดของราชวงศ์ซาวอยสายของเจ้าชายวิตโตริโอ เอ็มมานูเอล พระบิดาของเจ้าชายเอ็มมานูเอล ฟิลิแบร์โต ไม่รู้จักว่าวิตตอเรียคือใครด้วยซ้ำ
ภาพ: อินสตาแกรม @vittoria.disavoia
View this post on Instagram


