posttoday

Didi Chuxing ผู้เขย่าวงการแอปเรียกรถ

05 กรกฎาคม 2564

เส้นทางของ Didi Chuxing แอปเรียกรถแท็กซี่จากจีนที่สามารถเอาชนะ Uber

หลังจากที่เพิ่งเสนอขายหุ้น IPO เข้าตลาดสหรัฐไปได้ไม่นาน "ตีตี ชูสิง" (Didi Chuxing) ยักษ์ใหญ่แห่งวงการเรียกใช้บริการรถแท็กซี่ในแดนมังกรถูกสั่งให้หยุดการให้บริการหลังพบว่ามีการวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้อย่างผิดกฎหมาย นับเป็นบริษัทเทคยักษ์ใหญ่รายล่าสุดที่ถูกรัฐบาลจีนเล่นงาน

เส้นทางของ Didi Chuxing

ตีตี ชูสิง เคยสร้างปรากฏการณ์สะเทือนวงการแท็กซี่มาแล้วเมื่อแอปพลิเคชั่นเรียกรถชื่อดังอย่าง อูเบอร์ (Uber) ตัดสินใจยอมควบรวมกิจการ Uber China ในประเทศจีนกับตีตี ชูสิง หลังจากที่อูเบอร์ไม่สามารถเจาะตลาดจีนได้ มิหนำซ้ำยังขาดทุนซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะถูกตีตี ชูสิงกุมตลาดไว้หมด

นับเป็นประเทศเดียวที่อูเบอร์พ่ายแพ้อย่างราบคาบ ที่สำคัญยังเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายสูง และมีลูกค้าขึ้นแท็กซี่ผ่านแอปเป็นพันล้านรอบ อูเบอร์ในจีนยึดลูกค้าได้เพียง 150 ล้านรอบ ณ เวลานั้นถือว่ามากมายมหาศาลแล้ว แต่ก็ยังน้อยกว่าตีตี ชูสิงเกือบ 10 เท่า ซึ่งคิดเป็น 90% ของตลาดเรียกแท็กซี่ผ่านแอปในจีน

ในเมื่อเป็นคู่แข่งมันยากนัก อูเบอร์กับตีตี ชูสิงจึงพยายามเจรจาเพื่อควบรวมกิจการมาโดยตลอด แต่เวลาผ่านไป 2 ปีก็ไม่มีอะไรคืบหน้า แถมอูเบอร์ยังขาดทุนถึง 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐในจีนในช่วงนั้น จนทั้งสองฝ่ายตกลงจะใช้ยุทธศาสตร์ "รวมกันเราอยู่" ในปี 2016 โดยอูเบอร์จะขายแบรนด์ในจีนให้ตีตี ชูสิง แลกกับกับการถือหุ้นในตีตี ชูสิงในสัดส่วน 20% ส่วนตีตี ชูสิงจะเข้าไปลงทุนในตลาดของอูเบอร์ภายนอกจีนเป็นเงิน 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

จากดีลนี้จะเห็นได้ว่าตีตี ชูสิงไม่ธรรมดา เพราะไม่เพียงทำให้อูเบอร์ต้องจนมุมเท่านั้น แต่ยังปูทางให้ตัวเองรุกตลาดนอกจีนได้อีกด้วย

ที่เป็นเช่นนั้นเพราะตีตี ชูสิงมีแบ็กอัพที่แข็งปั๋งอย่าง เทนเซ็นต์ (Tencent) ยักษ์ใหญ่วงการอินเทอร์เน็ตในจีนของ หม่าฮั่วเถิง กับเครืออาลีบาบา (Alibaba) ของ หม่าหยุน เดิมนั้นตีตี ชูสิงเป็นการรวมกันของแอพเรียกแท็กซี่ 2 ตัว ของเทนเซนต์กับอาลีบาบา ในชื่อตีตี ต่าเชอ กับไคว่ตี ต่าเชอ ต่อมาควบรวมกิจการกันจนกลายเป็นตีตี ชูสิง แต่ในวันนี้ยังควบกับอูเบอร์อีก ไม่เรียกเป็นพี่ใหญ่ในวงการคงไม่ได้แล้ว

แต่เบื้องหลังที่แท้จริงของตีตี ชูสิงคือชายที่ชื่อ เฉิงเหวย วัย 38 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง และตอนนี้เป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร หรือซีอีโอ ที่น่าสนใจก็คือในตอนนั้น เฉิงเหวย เป็นชายหนุ่มอายุเพียงแค่ 33 ปีเท่านั้น แต่กลับสร้างความสั่นสะเทือนให้กับวงการแอพแท็กซี่จนสามารถยึดครองตลาดจีนได้แบบอยู่หมัด ทั้งยังกดดันอูเบอร์จนต้องยอมอ่อนข้อในที่สุด และพาตีตี ชูสิงผงาดตลาดนอกประเทศอีก นับว่าเป็นชายหนุ่มที่ไม่อาจคลาดสายตาได้อีกคนหนึ่ง!

รู้จักซีอีโอ

เฉิงเหวย เคยเป็นพนักงานของเถาเป่า ในส่วนของอาลีเพย์ ภายใต้การบริหารของอาลีบาบา เขาอยู่ใต้ร่มเงาของอาลีบาบานานถึง 8 ปี ก่อนที่จะลาออกจากงานเมื่ออายุได้ 30 ปี เพื่อสร้างกิจการของตัวเองด้วยเงินลงทุนเพียง 8 แสนหยวน

ธุรกิจที่เขาต้องการจะทำมากที่สุดคือบริการเรียกแท็กซี่ โดยมีแรงบันดาลใจมาจากการที่ตัวเขามักเรียกแท็กซี่ไม่ค่อยได้ แถมบางครั้งยังต้องตกเครื่องบินเพราะหารถไม่ได้อีกต่างหาก เลยอยากจะแก้ปัญหาโลกแตกที่ว่านี้พร้อมๆ กับหาเงินเข้ากระเป๋าด้วย ผลลัพธ์ก็คือการสร้างแอพพลิเคชั่น "ตีตี ต่าเชอ" หรือ "ตีตี เรียกรถ" ในปี 2012 และให้บริการใน 300 เมืองทั่วประเทศ

ตอนแรกไม่เพียงไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐเท่านั้น (ธุรกิจในจีนที่จะประสบความสำเร็จได้ดีต้องได้รับการเกื้อหนุนจากรัฐ) แต่ยังถูกแบนถึง 14 ครั้ง จากหน่วยงานท้องถิ่นทั่วประเทศ

แต่ตีตี ต่าเชอก็สามารถฝ่าด่าน 18 อรหันต์จนก้าวขึ้นมาเป็นแอพแท็กซี่ชั้นนำของประเทศจนได้ โดยได้รับการสนับสนุนจากเทตเซนต์เป็นเงินถึง 15 ล้านเหรียญสหรัฐ

ประเด็นนี้นับว่าน่าสนใจมาก เพราะ เฉิงเหวย เคยเป็นลูกหม้อเก่าของอาลีบาบา แต่เมื่อออกมาตั้งบริษัทของตัวเอง เขากลับได้รับการสนับสนุนจากคู่แข่งของบริษัทเดิมนั่นคือเทนเซนต์ ส่วนอาลีบาบาผู้โอบอุ้มเขามาแต่เดิม กลับมีแอพเรียกเแท็กซี่เป็นของตัวเองเช่นกัน นั่นคือ "ไคว่ตี ต่าเชอ" จึงอาจกล่าวได้ว่าเทนเซนต์ช่วงใช้ เฉิงเหวย มาต่อกรกับอาลีบาบาอยู่กลายๆ

ความท้าทายจริงๆ ของ เฉิงเหวย ไม่ใช่ไคว่ตี ต่าเชอ หรืออาลีบาบา แต่เป็นความต้องการใช้แท็กซี่ของคนจีนที่สูงกว่าจำนวนแท็กซี่ แม้ว่าจะมีแอพรองรับถึง 2 ตัวแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถสนองอุปสงค์ได้เลย โดยเฉพาะในช่วงเร่งด่วน ดังนั้น ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การมีคู่แข่ง 2 รายขับเคี่ยวกัน ปัญหาอยู่ที่คู่แข่งทั้งสองไม่สามารถแก้ปัญหาพื้นฐานของการขาดแคลนแท็กซี่ได้

แต่ เฉิงเหวย ก็เกิดไอเดียในที่สุด เขาเลิกที่จะพึ่งพาเแท็กซี่เพียงอย่างเดียว เขาติดต่อและขอร้องให้ผู้มีรถเข้าร่วมเครือข่ายแอพ โดยเฉพาะผู้ที่มีรถว่างหรือที่ไม่ได้ใช้ และรถที่วิ่งเป็นเวลา สามารถเข้าร่วมโครงการด้วยการรับผู้โดยสารตามออร์เดอร์ ส่วนผู้โดยสารก็อาจแชร์รถกับเจ้าของรถส่วนบุคคลเรียกได้ว่าวิน-วินด้วยกันทุกฝ่าย แถมยังแก้ปัญหารถขาดแคลนอีกด้วย

ที่น่าภาคภูมิใจก็คือ เฉิงเหวย กลายเป็นคนแรกๆ ในจีนที่ผลักดัน Sharing Economy หรือเศรษฐกิจแบ่งปัน

เฉิงเหวย ไม่ใช่คนเดียวที่ขับเคลื่อนความสำเร็จนี้ เพราะยังมีหญิงสาววัย 42 ปีอีกคนหนึ่งเป็นแกนนำหลัก เธอคือ จีน หลิ่ว หรือ หลิ่วชิง ผู้นำอัจฉริยะคนหนึ่งของวงการที่ร่วมกันผลักดันตีตี ชูสิงจนมาถึงวันนี้ได้

เอาชนะ Uber

แต่แล้วในปี 2013 ทั้งตีตี ต่าเชอ และไคว่ตี ต่าเชอ ต้องเผชิญหน้ากับมือที่สาม นั่นคืออูเบอร์ที่รุกตลาดจีนในปีนั้น โดยมีไป่ตู้เป็นผู้รับรองด้านไอที ทำให้แอพเรียกรถเกิดการแข่งขันอย่างดุเดือด แต่ปรากฎว่า อูเบอร์เข้าเนื้อทุกปีเพื่อจะต่อกรกับคู่แข่งท้องถิ่น ซึ่งกุมตลาดภายในในสัดส่วนถึง 80% แม้จะเจอศึกหนักและต้องเสียเงินเป็นพันล้านในแต่ละปีเพื่อเปิดศึกในครั้งนี้ แต่อูเบอร์ก็ยังทนกัดฟันเรื่อยมา

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อ เฉิงเหวย ตัดสินใจงัดทฤษฎีรวมกันเราอยู่มาใช้สร้างความแข็งแกร่ง ด้วยการรวมตัวกับไคว่ตี ต่าเชอเสียเลย กลายเป็นบริษัทใหม่ในชื่อ "ตีตี ชูสิง" นอกจากจะยึดส่วนแบ่งตลาดได้มากกว่า 90% แล้ว การมียักษ์ใหญ่ในโลกออนไลน์อย่างเทนเซนต์กับอาลีบาบามาเป็นแบ็กอัพร่วมกัน (แทนที่จะห้ำหั่นกันเอง) ยังช่วยให้การใช้แอพผ่านทางสมาร์ทโฟนง่ายขึ้นไปอีก

แต่นี่กลับกลายเป็นวิบากกรรมครั้งใหญ่ของอูเบอร์ จนกระทั่งต้องยอมร่วมเข้ากับแผน "รวมกันเราอยู่" ในที่สุด สรุปก็คือ ตอนนี้ "ตีตี ชูสิง" ภายใต้การบริหารของ เฉิงเหวย ผูกขาดตลาดแอพเรียกแท็กซี่เพียงแต่ผู้เดียว

Sharing Economy คือจุดแข็ง

เศรษฐกิจแบ่งปัน หรือ Sharing Economy มักมีศูนย์กลางอยู่ในโลกออนไลน์ แต่ยังขายตัวและนำไปใช้ในโลกภายนอกได้เช่นกัน รวมถึงในธุรกิจขนส่ง ดังเช่นที่ตีตี ชูสิงริเริ่มการแชร์รถระหว่างเจ้าของรถกับคนทั่วไปที่อยากจะโดยสารยานพาหนะ โดยมีแอพของตีตี ชูสิงเป็นสื่อกลาง

นักวิเคราะห์ในวงการต่างมองว่า สาเหตุที่อูเบอร์ต้องยอมอ่อนข้อให้กับตีตี ชูสิง เพราะไม่อาจต้านทานระบบเศรษฐกิจแบ่งปันที่กำลังมาแรงในจีนได้ และตีตี ชูสิงคือรายแรกๆ ที่ใช้ระบบนี้แก้โจทย์ทางธุรกิจ และกลายเป็นจุดแข็งอย่างหนึ่ง แต่ในโลกภายนอกของจีนอูเบอร์ก็ยังใช้แนวทางนี้เช่นกัน และค่อนข้างประสบความสำเร็จพอๆ กับเจอปัญหาหนักอก

ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ Sharing Economy ในจีนไม่ใช่การแชร์อย่างเสรีเหมือนในสหรัฐหรือประเทศอื่นๆ ระบบนี้ในจีนต้องอาศัยการรับรองจากรัฐค่อนข้างมาก ดังนั้น อูเบอร์ที่ไม่สามารถฝ่าด่านนี้จึงไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่ควรจะเป็น ตรงกันข้ามกับตีตี ชูสิงที่รู้จักระบบการจัดการ "แบบจีนๆ" มากกว่า จึงกลายเป็นผู้นำในด้านนี้

ความสำเร็จของ Didi Chuxing

บริษัทเสนอขายหุ้น IPO เข้าตลาดสหรัฐไปเมื่อเดือนที่ผ่านมา โดยคาดว่าหลังทำ IPO ครั้งนี้ตีตี ชูสิงจะก้าวขึ้นเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูงที่สุดในจีน ขณะที่บลูมเบิร์กเคยวิเคราะห์ว่ามูลค่าภายหลัง IPO อาจพุ่งถึง 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีผู้ถือหุ้นเป็นบริษัทระดับโลกอย่างซอฟต์แบงก์ (SoftBank), อาลีบาบา (Alibaba), เทนเซ็นต์ (Tencent) รวมถึงอูเบอร์ (Uber)

ตีตี ชูสิงนับว่าเป็นแอปพลิเคชันยอดนิยมที่สุดแอปหนึ่งในประเทศจีน โดยมีผู้ใช้ในจีนประมาณ 3 ถึง 4 ร้อยล้านคน ขณะที่รายได้ของบริษัทในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้อยู่ที่ 196 ล้านหยวนหรือประมาณกว่า 30 ล้านเหรียญสหรัฐ

แต่ทว่ารัฐบาลจีนภายใต้การบริหารของสี จิ้นผิง มีท่าทีที่เข้มงวดต่อบรรดาบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงอาลีบาบา ของแจ็ค หม่า ที่ถูกปรับไปถึง 2,800 ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งนับว่าเป็นค่าปรับที่แพงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ตีตี ชูสิงก็เช่นกัน โดยล่าสุดถูกรัฐบาลสั่งให้ระงับการให้บริการในจีน

Photo by Jade GAO / AFP

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา