ถึงคราอวสาน มรดกยุคโคโลเนียลในอินโดจีน?
ไม่แน่ว่า บางครั้งกว่าจะรู้ตัวอีกที มรดกทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่ไม่อาจเรียกคืนเหล่านี้ อาจกลายเป็นเพียงผงธุลีและเศษซาก สังเวยความคึกคะนองของรัฐบาลไปจนสูญสิ้นแล้วก็เป็นได้....
ไม่แน่ว่า บางครั้งกว่าจะรู้ตัวอีกที มรดกทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่ไม่อาจเรียกคืนเหล่านี้ อาจกลายเป็นเพียงผงธุลีและเศษซาก สังเวยความคึกคะนองของรัฐบาลไปจนสูญสิ้นแล้วก็เป็นได้....
โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ
มรดกทางสถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่าทั้งด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่เจ้าแห่งอาณานิคมอย่าง “ฝรั่งเศส” ฝากไว้เป็นมรดกตกทอดให้คนรุ่นหลังในดินแดนอินโดจีนมานานหลายทศวรรษ กำลังค่อยๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา เหลือไว้เพียงความทรงจำ และภาพถ่ายจารึกมรดกยุคโคโลเนียล (ยุคอาณานิคม) ไว้เป็นอนุสรณ์ให้กับคนรุ่นหลังได้ชื่นชมเท่านั้น
อะไรคือตัวการที่พลัดพรากความงดงามและคุณค่าแห่งอดีตเหล่านี้ไปอย่างไม่มีวันกลับ?
คำตอบก็คือ “ลัทธิสมัยใหม่” (Modernise) ที่กำลังแผ่ซ่านเข้ามากัดกินภูมิภาคอินโดจีน ที่ประกอบไปด้วยดินแดนกัมพูชา ลาว และเวียดนามในปัจจุบัน
เอเอฟพี รายงานว่า เมื่อรัฐบาลกัมพูชามีคำสั่งให้รื้อถอนโรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงพนมเปญ ซึ่งมีอายุเก่าแก่กว่าร้อยปี บรรดานักอนุรักษนิยมต่างคร่ำครวญ และอดใจหายไม่ได้ที่ต้องสูญเสียสถาปัตยกรรมอันเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ที่ได้รับการตกทอดมาจากอดีตเจ้าของอาณานิคมไปต่อหน้าต่อตาอีกครั้ง
สาเหตุที่ทำให้รัฐบาลพนมเปญตัดสินใจเช่นนี้ ก็เพียงเพราะกัมพูชาเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ไม่อยากตกขบวนในการพาประเทศก้าวสู่ความทันสมัย
เอกลักษณ์เฉพาะตัวของสถาปัตยกรรมที่ได้รับการตีตราว่าเป็นมรดกตกทอดของอาณานิคมฝรั่งเศส หรือที่เรียกว่า เป็นมรดกยุคอาณานิคม (Colonial) คือ หน้าต่างบานเกล็ด ระเบียงที่กว้างใหญ่ โอ่โถง และกระเบื้องหลังคาแบบลาดเอียง
ภาพของสถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์เหล่านี้ ยังคงพบเห็นด้วยทั่วไปในเมืองต่างๆ ของภูมิภาคอินโดจีน โดยเฉพาะในกัมพูชา ลาว และเวียดนาม ซึ่งแม้จะผ่านมาหลายทศวรรษ นับตั้งแต่ฝรั่งเศสปลดปล่อยอาณานิคมเหล่านี้ในปี 2497 แต่ร่องรอยมรดกทางวัฒนธรรมก็ยังปรากฏให้เห็นในหลายเมือง
น่าเสียดายที่ปัจจุบัน อาคารประวัติศาสตร์หลายร้อยหลังที่เคยพบเห็นดาษดื่นในภูมิภาคนี้ กำลังจะกลายเป็นเพียงบันทึกหน้าหนึ่งในหนังสือประวัติศาสตร์เท่านั้น
เอเอฟพี ระบุว่า การรื้อถอนอาคารยุคเก่า เป็นผลมาจากแรงขับดันจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มอินโดจีน ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา กอปรกับความกระหายของนักพัฒนาที่อยากจะสร้างอาคารอพาร์ตเมนต์ และอาคารสำนักงานในทำเลทอง ซึ่งส่วนใหญ่ถูกจับจองโดยอาคารยุคอาณานิคม
ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สถาปัตยกรรมเก่าแก่เหล่านี้จะถูกมองข้าม และไม่ได้รับการเหลียวแลจากรัฐบาลเท่าที่ควร
“สิ่งที่เราเห็นจากพนมเปญ คือ ความพยายามอันน้อยนิด หรือแทบจะไม่มีเลยในการปกป้อง อาคารที่ทรงคุณค่าเหล่านี้ ทุกวันนี้เราเห็นอาคารเก่าสมัยอาณานิคมฝรั่งเศสค่อยๆ เลือนหายไป” ดาร์ริล คอลลินส์ นักประวัติศาสตร์ด้านสถาปัตยกรรมในกัมพูชากล่าว
“เป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างใหญ่หลวง ผมคิดว่าเมื่อถึงเวลา เราอาจรู้สึกเสียใจที่อาคารเก่าๆ หลายแห่งเริ่มหายไป”
โรงเรียน “Ecole Professionnelle” โรงเรียนฝึกอาชีพที่เก่าแก่ที่สุดของกัมพูชา มีอายุราว 102 ปี เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างความสูญเสียอันใหญ่หลวงที่เกิดขึ้น หลังรัฐบาลมีคำสั่งให้ทำการรื้อถอนไปเมื่อเดือน ก.พ.
ความสูญเสียครั้งนี้ เป็นผลพวงจากความพยายามของรัฐบาลในการพัฒนาประเทศให้พ้นจากความยากจน ไปสู่ความทันสมัย โดยหารู้ไม่ว่าการทำลายสิ่งปลูกสร้างที่ประเมินค่าไม่ได้เหล่านี้ ไม่ต่างอะไรกับทำลายประเทศทางอ้อม
ทั้งนี้ นครหลวงของกัมพูชา หรือที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ไข่มุกแห่งเอเชีย” ครั้งหนึ่ง เคยได้รับการยกย่องว่าเป็นนครที่งดงามที่สุดในภูมิภาคนี้ ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณเจ้าของอาณานิคมอย่างฝรั่งเศส ที่วางผังเมืองให้นครหลวงแห่งนี้ไว้อย่างยอดเยี่ยม
ไม่ว่าจะเป็นการตัดถนนที่เน้นความกว้างขวางตามสไตล์ฝรั่งเศส การออกแบบอาคารบ้านเรือนให้ดูโอ่อ่า มีเอกลักษณ์ รวมทั้งการปูทางในการดูแลจัดแต่งสวนสาธารณะไว้อย่างละเอียดลออ
ถึงกระนั้น แม้ว่ามรดกทางวัฒนธรรมเหล่านี้จะเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์เพียงใด แต่ในยุคที่ความสุขทางกายมีอานุภาพมากกว่าความสุขทางใจแล้ว สิ่งปลูกสร้างที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ กลับกำลังร่อยหรอลงไปอย่างรวดเร็ว
นักอนุรักษนิยมประมาณการว่า มีสถาปัตยกรรมที่เป็นมรดกจากยุคอาณานิคมกว่า 30% ในกรุงพนมเปญ ที่รอดพ้นจากเงื้อมมือของกลุ่มเขมรแดง แต่ทว่าสงครามกลางเมืองในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา กลับทำลายมรดกแห่งกาลเวลาเหล่านั้นไปหมดสิ้นแล้ว
แม้อนาคตของมรดกยุคโคโลเนียลในกัมพูชาจะมืดมนเพียงใด ทว่าท่ามกลางความมืดมนนั้นก็ยังมีแสงเทียนเล็กที่สาดส่องมาเพื่อต่ออายุให้กับสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ต่อไป
เพราะใช่เพียงแต่บรรดานักประวัติศาสตร์ที่หัวเสียกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวที่ก่อตั้งขึ้น แต่สำหรับชาวบ้านตาดำๆ ก็ทนเห็นมรดกที่ทรงคุณค่านี้ถูกทำลายไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้
“เราไม่ควรทำลายอาคารสมัยอาณานิคมพวกนี้ เราควรปรับปรุงให้อาคารเหล่านี้น่าดูอีกครั้ง” เช่งเมือน พ่อค้าขายน้ำอัดลมบริเวณด้านหน้าอาคารสไตล์ฝรั่งเศสที่ถูกทำลาย ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับพระบรมมหาราชวังในกรุงพนมเปญ กล่าว
ด้านสำเรียง คำสัน เจ้าหน้าที่ระดับสูงประจำกระทรวงวัฒนธรรมของกัมพูชา กล่าวว่า การอนุรักษ์อาคารที่ออกแบบโดยฝรั่งเศสในกรุงพนมเปญนั้น เป็นเรื่องที่ซับซ้อน เนื่องจากข้อจำกัดด้านเงินทุนสนับสนุน และขาดการเหลียวแลจากบรรดาเจ้าของอาคาร
“เราต้องการที่จะปกป้องอาคารเก่าเหล่านี้ไว้ บางคนก็ฟังเรา ในขณะที่บางคนไม่” สำเรียง กล่าว
อย่างไรก็ตาม นอกจากการล่มสลายของมรดกทางสถาปัตยกรรมในยุคโคโลเนียลจะเริ่มปรากฏเค้าลางให้เห็นที่กัมพูชา หนึ่งในภูมิภาคอินโดจีนแล้ว ลาวและเวียดนามในฐานะเพื่อนบ้านก็กำลังเผชิญชะตากรรมเดียวกัน
นักประวัติศาสตร์ด้านสถาปัตยกรรมในกัมพูชาระบุว่า ลาวและเวียดนามก็กำลังดิ้นรนอย่างหนัก เพื่ออนุรักษ์อาคารเก่าแก่เหล่านี้ไว้ ไม่ต่างจากกัมพูชา
สอดคล้องกับข้อมูลของฮวงดาวคินห์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของฮานอย กล่าวว่า ในจำนวนอาคารสไตล์ฝรั่งเศสกว่า 1,000 แห่งในเวียดนาม ปัจจุบันมีเพียงไม่กี่ร้อยแห่งเท่านั้นที่ยังคงสภาพเดิมให้เห็นอยู่
ยิ่งกว่านั้น ท่ามกลางความพยายามของเวียดนามที่ต้องการทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาอาคารเก่าเหล่านี้ โดยเฉพาะการนำกฎหมายในปี 2544 มาประยุกต์ใช้เพื่ออนุรักษ์สิ่งก่อสร้างดังกล่าว ทว่ากลับต้องเผชิญกับความยุ่งยากมากมาย
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเวียดนามอาจโชคดีกว่ากัมพูชา ตรงที่ความพยายามทั้งหมดที่ถูกส่งไปเพื่อฉุดรั้งความทันสมัยไม่ให้พรากมรดกในอดีตไป กลับไม่สูญเปล่าซะทีเดียว
เพราะหนึ่งในความสำเร็จที่ปรากฏผลให้เห็นชัดเจนในเวียดนาม คือ ความสำเร็จของนักอนุรักษ์ ในการปกป้องเมืองดาลัต ให้ยังคงรูปแบบอันดีงามที่เจ้าของอาณานิคมทิ้งไว้
เช่นเดียวกับนครหลวงพระบางของลาว ที่นอกจากจะยังคงเก็บรักษาความงดงามของบ้านเรือนยุคอาณานิคมได้เป็นอย่างดีและครบถ้วนราวกับภาพวาดได้แล้ว ยังเป็นเสน่ห์ที่หาไม่ไหนของดินแดนแห่งนี้ จนกลายเป็นจุดขายที่สามารถดึงดูดบรรดานักท่องเที่ยวให้มาเยือนดินแดนแห่งนี้อีกด้วย
ยิ่งกว่านั้น ยังดูเหมือนว่ารัฐบาลลาวมีความกระตือรือร้นที่จะนำความสำเร็จที่เกิดขึ้นในหลวงพระบางมาใช้ในกรุงเวียงจันทน์ด้วย
เข็นทอง นวนทะสิง โฆษกรัฐบาลลาว กล่าวว่า อาคารหลายแห่งในเวียงจันทน์ได้รับการปรับปรุงและยังอยู่ในสภาพที่ดี
“นั่นเป็นสิ่งที่ดีสำหรับนักท่องเที่ยว เมื่อนักท่องเที่ยวมาเยือนเวียงจันทน์ พวกเขาก็จะมองหาสถาปัตยกรรมเหล่านี้” เข็นทอง กล่าว
ทั้งนี้ คอลลินส์ เชื่อว่า รัฐบาลของทั้งสามประเทศไม่ควรเห็นว่าการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมยุคอาณานิคมเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่ารำคาญ
ในทางกลับกัน น่าจะมองว่านี่คือช่องทางหนึ่งสำหรับดูดเงินจากกระเป๋านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาหมุนเวียนในประเทศได้อีกด้วย
ยังไม่สายเกินไป หากรัฐบาลจะหันมาตระหนัก และเห็นคุณค่าของมรดกอันทรงคุณค่าใกล้ตัวเหล่านี้ แทนที่จะมัวหลงใหลได้ปลื้มไปกับแนวคิดสมัยใหม่ที่ค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในสังคม
ไม่แน่ว่า บางครั้งกว่าจะรู้ตัวอีกที มรดกทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่ไม่อาจเรียกคืนเหล่านี้ อาจกลายเป็นเพียงผงธุลีและเศษซาก สังเวยความคึกคะนองของรัฐบาลไปจนสูญสิ้นแล้วก็เป็นได้


