อ้างระบบศาลไม่ยุติธรรม อดีตซีอีโอนิสสันหนีคดีจากญี่ปุ่น
เขายังกล่าวว่าผมไม่ได้หลบหนีความยุติธรรม ผมหลบหนีความอยุติธรรมและการกดขี่ข่มเหงทางการเมือง
คาร์ลอส กอสน์ อดีตกรรมการผู้จัดการบริษัทนิสสัน ได้หลบหนีจากประเทศญี่ปุ่นไปยังเลบานอน โดยอ้างว่าเพื่อหนีความอยุติธรรมในญี่ปุ่นระหว่างที่ตัวเขาได้รับการประกันตัวเพื่อรอการพิจารณาคดีมีพฤติกรรมที่มิชอบทางการเงิน
ในแถลงการณ์กอสน์ วัย 65 ปีกล่าวว่าเขาจะ "ไม่ยอมถูกจับเป็นตัวประกันโดยระบบความยุติธรรมญี่ปุ่นอีกต่อไป ซึ่งเป็นระบบที่ตีความไว้ก่อนว่าจำเลยกระทำความผิด และมีการเลือกปฏิบัติอย่างรุนแรง และละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน"
เขายังกล่าวว่า "ผมไม่ได้หลบหนีความยุติธรรม ผมหลบหนีความอยุติธรรมและการกดขี่ข่มเหงทางการเมือง" และย้ำว่าเขาจะติดต่อกับสื่ออย่างเป็นอิสระมากขึ้นในสัปดาห์หน้า
ขณะนี้ ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่ากอสน์เดินทางออกจากญี่ปุ่นได้อย่างไร เนื่องจากเงื่อนไขการประกันตัวทำให้เขาไม่สามารถออกจากประเทศญี่ปุ่น โดยเขาถูกกักตัวไว้ได้ตั้งแต่การจับกุมอย่างกระทันหันในเดือนพฤศจิกายน 2018 เป็นกรณีที่ส่งผลสะเทือนไปทั่วโลกธุรกิจ
แม้แต่ทนายความของเขา คือ จุนอิจิโร ฮิโรนากะ ก็ไม่ทราบเรื่องที่ลูกความหลบหนีไป และยืนยันว่าหนังสือเดินทางของกอสน์จยังอยู่กับทีมทนายความ และยังไม่ทราบว่าจะติดต่อกับเขาอย่างไร
อย่างไรก็ตาม สื่อเลบานอนรายงานว่า กอสน์เดินทางออกจากญี่ปุ่นโดยเครื่องบินส่วนตัวจากตุรกีถึงเลบานอนซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของพ่อแม่ของเขา และเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในวัยเด็กที่ประเทศนี้ นอกจากนี้ ชาวลเบานอนยังมองกอสน์เป็นเสมือนตัวแทนความสำเร็จของชาวเลบานอนอพยพ และต่างรู้สึกช้อคที่เขาถูกทารงการญี่ปุ่นจับกุม
ที่ผ่านมากอสน์และทนายของเขาเแสดงความกังวลว่าจะไม่ได้รับการไต่สวนคดีอย่างเป็นธรรมในญี่ปุ่น และได้เรียกร้องให้มีการยกฟ้อง เนื่องจากสำนักงายอัยการญี่ปุ่นละเลยขั้นตอนในการดำเนินคดี
การหลบหนีจากญี่ปุ่นอย่างกะทันหันของกอสน์นั้นน่าทึ่งพอๆ กับตอนที่เขาถูกจับกุมกลางสนามบินโตเกียว
เมื่อวันที่ 19 เดือนพฤศจิกายน ปี 2018 อัยการญี่ปุ่นบุกจับกอสน์คาเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวของเขาและนำตัวไปที่เรือนจำในโตเกียวและต้องอยู่มากกว่า 100 วันในสภาพที่คับแค้นเหมือนอยู่กันคนละโลกกับวิถีชีวิตที่ฟุ่มเฟือของเขาในฐานะผุ้บริหารบริษัทยานยนต์ชั้นนำของโลก
ในที่สุดเขาก็ถูกประกันตัวออกมาจากเรือนจำในเดือนมกราคม 2019 โดยวันที่ออกมานั้นเขาอำพรางตัวอยู่ในชุดคนงานพร้อมหน้ากากและหมวกปิดยังเพื่อหลอกสื่อโลกที่ตั้งท่ารออยู่ด้านนอก
จากนั้นเช้าวันหนึ่งในเดือนเมษายน 2019 เขาก็ถูกจับกุมอีกครั้งหนึ่งด้วยความผิดอีกกระทงหนึ่ง เพียงไม่กี่วันก่อนที่เขาจะครบกำหนดจัดงานแถลงข่าว
ก่อนหน้านี้ เขาปล่อยวิดีโอที่บันทึกไว้ล่วงหน้าซึ่งเขกล่าวหาว่า "ถูกแทงข้างหลัง" โดยผู้บริหารระดับสูงของนิสสันที่ "สมรู้ร่วมคิดกัน"
ต่อมาในเดือนนั้นเขาได้รับการปล่อยตัวหลังจากประกันตัวอีกครั้ง คราวนี้เขาออกมาในชุดสูทธุรกิจ และหลังจากนั้นเขาอยู่ที่โตเกียวมาตลอดเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการ "ต่อสู้" ในคดีความ
สำหรับกระทงแรกนั้น เขาถูกกล่าวหาว่า รายงานรายระหว่างปี 2010 - 2018 ได้ต่ำกว่าความเป็นจริง พยายามปกปิดจำนวนเงินที่เขาได้รับการชดเชยจากบริษัท และไม่ประกาศเรื่องนี้กับผู้ถือหุ้นให้ทราบ
นอกจากนี้ เขายังถูกกล่าวหาว่าโอนเงินจำนวนหลายล้านจากกองทุนนิสสันไปยังตัวแทนจำหน่ายในประเทศโอมาน ซึ่งคาดว่ากอสน์จะได้รับเงิน 5 ล้านเหรียญสหรัญไปใช้จ่ายส่วนตัว
เขาปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมดอย่างต่อเนื่องโดยบอกว่าเป็น "แผน" ของผู้บริหารนิสสันที่จะกำจัดเขาเพราะพวกเขากลัวว่ากอสน์จะพานิสสัน ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นไปอยู่ใกล้ชิดกับเรโนลต์ให้มากขึ้น โดยกอสน์เป็นผู้ผนึกกำลังพันธมิตร 3 ฝ่ายคือ นิสสัน มิตซูบิชิมอเตอร์สและเรโนลต์
หลังจากถูกดำเนินคดี กอสน์สูญเสียอาณาจักรธุรกิจที่ครั้งหนึ่งเขาเคยสร้างขึ้นมาจนได้รับการยกย่องไปทั่วโลก เขาถูกไล่ออกจากนิสสันและมิตซูบิชิมอเตอร์ส และเขาลาออกจากเรโนลต์ในท้ายที่สุด


