ไทยระวังเสียแชมป์ มาเลเซียผุดเมนูทุเรียนแปลกๆ รุกตลาดส่งออกจีน
มาเลเซียเดินหน้ารุกตลาดส่งออกทุเรียนไปจีน หวังโค่นแชมป์หลายสิบปีอย่างไทย
มาเลเซียเดินหน้ารุกตลาดส่งออกทุเรียนไปจีน หวังโค่นแชมป์หลายสิบปีอย่างไทย
ประเทศไทยเริ่มส่งออกทุเรียนไปจีนเมื่อราว 20 ปีที่แล้ว และทำการเจาะตลาดในระดับที่ค่อนข้างลึกจนสามารถครองใจชาวจีนมาอย่างเหนียวแน่น และขึ้นแท่นเป็นผู้ส่งออกทุเรียนรายใหญ่ที่สุดในตลาดจีน จากฐานข้อมูลการค้าขององค์การสหประชาชาติ เมื่อปี 2017 จีนนำเข้าทุเรียนทั้งหมด 350,000 ตัน มูลค่า 510 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนๆ ถึง 15% โดยราชาแห่งผลไม้ของไทยครอบครองส่วนแบ่งการตลาด 40% ส่วนมาเลเซียมีสัดส่วนอยู่ที่ 10% หรือพูดง่ายๆ ว่าถ้าจีนนำเข้าทุเรียน 10 ลูก มีเพียง 1 ลูกเท่านั้นที่เป็นของมาเลเซีย
ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ไทยครองเจ้าตลาดทุเรียนในจีนเป็นเพราะรัฐบาลจีนไฟเขียวให้นำเข้าทุเรียนทั้งลูกจากไทยเพียงประเทศเดียวเท่านั้น เนื่องจากทุเรียนมาเลเซียมีข้อจำกัดเรื่องคุณภาพ เพราะชาวสวนมาเลย์มักจะรอให้ทุเรียนสุกคาต้นแล้วหล่นลงมาเอง ซึ่งบางครั้งอาจจะมีเศษดินเศษใบไม้หรือแมลงศัตรูพืชปนเปื้อนไปกับทุเรียนนำเข้า ไม่ผ่านข้อกำหนดการนำเข้าของทางการจีน
แต่ก็มีโอกาที่แชมป์จะเปลี่ยนมือ เพราะเมื่อเดือน ส.ค. ปีที่แล้ว รัฐบาลจีนและมาเลเซียได้ลงนามข้อตกลงว่าจีนจะรับซื้อทุเรียนจากมาเลเซียมากขึ้น และอนุญาตให้มาเลเซียส่งทุเรียนทั้งลูกเข้าจีนได้ จากเดิมที่นำเข้าได้เฉพาะเนื้อทุเรียนแช่แข็ง ซึ่งคาดว่าจะมีผลบังคับภายในปีนี้ ข้อตกลงนี้อย่างเดียวก็เพียงพอให้มาเลเซียขยายตลาดทุเรียนในจีนแข่งกับไทยได้สบายๆ นอกจากนั้นรัฐบาลมาเลเซียยังสั่งลุยเต็มที่ โดยตั้งเป้าว่าจะส่งออกทุเรียนไปจีนเพิ่มขึ้นอีก 50% ภายในปี 2030 เพื่อสนองความต้องการของลูกค้าชาวจีน
ด้วยเหตุนี้บรรดาเกษตรกรชาวสวนจึงหันมาปลูกทุเรียนชนิดที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่เว้นแม้แต่ ลิมคังฮู ไทคูนอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของประเทศที่ประกาศจะซื้อหุ้นมูลค่า 5 ล้านเหรียญในบริษัทที่ส่งออกทุเรียน รวมถึงไทคูนปาล์มน้ำมันรายอื่นที่เล็งๆ ว่าจะกระโดดเข้ามาในตลาดนี้ด้วย เพราะมูลค่าตลาดมีแต่จะเพิ่มขึ้น เมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ซาลาฮุดดิน อายุบ รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตรถึงกับเปรียบเทียบว่า การปลูกทุเรียนมูซังคิง 6.25 ไร่ สร้างรายได้มากกว่าการปลูกปาล์มน้ำมันถึง 9 เท่า
เคนนี หมั่น ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการบริษัท Newleaf Plantation Berhad หนึ่งในผู้ปลูกทุเรียนมูซังคิงรายใหญ่ของมาเลเซีย เผยว่า “ แม้ทุเรียนมาเลเซียจะมีราคาสูงกว่าทุเรียนไทย แต่เศรษฐกิจจีนก็ดีขึ้นเรื่อยๆ และชาวจีนมีความต้องการบริโภคสูง จึงไม่ต้องห่วงเรื่องกำลังซื้อ ตอนนี้มาเลเซียกำลังเร่งเร่งขยายพื้นที่ปลูกทุเรียน เพื่อรองรับความต้องการของตลาดชาวจีนที่นับวันจะเพิ่มขึ้นๆ”
ที่สวน Newleaf Plantation Berhad ใช้ระบบ “ฟาร์มอัจฉริยะ” ในการประคบประหงมทุเรียนทุกต้นเป็นอย่างดี โดยการติดคิวอาร์โค้ดไว้ที่ต้น และเมื่อสแกนดูก็จะทราบข้อมูลสุขภาพของต้นทุเรียน อาทิ อายุ สายพันธุ์ จำนวนผลผลิต ข้อมูลการเก็บเกี่ยว รวมทั้งตรวจสอบได้ว่าแต่ละต้นได้รับน้ำและปุ๋ยครบถ้วนหรือไม่
ทุเรียนหมอนทองของไทยจะต้องต่อสู้กับทุเรียนมูงซังคิงที่เนื้อสีเหลืองทอง ลักษณะเป็นครีมๆ มีรสชาติขมนิดๆ ติดลิ้น พ่วงด้วยกลิ่นที่ค่อนข้างแรง ซึ่งเป็นที่ถูกอกถูกใจของบรรดาตี๋หมวยที่ยอมควักกระเป๋าจ่ายไม่อั้น ส่งผลให้ราคาค่าตัวของมูงซังคิงเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัวในช่วงสี่ห้าปีที่ผ่านมา จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “แอร์เมสแห่งทุเรียน”
นอกจากนี้ ล่าสุดมาเลเซียยังปรับกลยุทธ์ดึงดูดลูกค้าด้วยการแปรรูปทุเรียนเป็นเมนูแปลกๆ อาทิ พิซซ่าทุเรียน หม้อไฟทุเรียน กาแฟทุเรียน บะกุ๊ตเต๋ทุเรียน ไอศกรีมทุเรียน เครป เค้ก พัฟฟ์ หรือช็อกโกแลตทุเรียน อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับราชาผลไม้ จากที่ปกติทุเรียนสดขายได้กิโลกรัมละ 40 ริงกิต หรือราว 307 บาท แต่พอนำมาแปรรูปแล้วมูลค่าอาจสูงถึงกิโลกรัมละ 1,000 ริงกิต หรือราว 7,685 บาท
ชาร์ลส์ เฉิน กรรมการบริษัทผู้ผลิตช็อกโกแลต Krillo Kakaw ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซีย เผยว่า เมื่อก่อนลูกค้ายังไม่ค่อยคุ้นชินกับทุเรียนแปรรูป แต่ปัจจุบันได้รับการยอมรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ชาวจีนมองว่าทุเรียนคือสินค้าพรีเมี่ยม แต่ผู้ผลิตก็ต้องมีทางเลือกใหม่ๆ ให้ลูกค้าได้ลิ้มลอง แม้ปัจจุบันบริษัทจะมีช็อกโกแลตทุเรียนให้ลูกค้าเลือก 7-8 ชนิด (สนนราคาตั้งแต่ 49 ริงกิต หรือราว 376 บาทเป็นต้นไป) โดยทั้งหมดเป็นสินค้าที่ขายดีที่สุดของบริษัท แต่ Krillo Kakaw ยังเตรียมแผนออกผลิภัณฑ์ใหม่ๆ จากทุเรียนแช่แข็งเพื่อส่งไปขายที่จีน โดยตั้งเป้าว่าจะโกยรายได้ปีละ 40-50 ล้านริงกิต หรือราว 307-ในช่วงเริ่มต้น
อย่างไรก็ดี นอกจากมาเลเซียจะหมายตาจีนซึ่งเป็นตลาดทุเรียนสำคัญของไทยแล้ว มาเลเซียยังเล็งเป้ามาที่ไทยซึ่งเป็นผู้ปลูกทุเรียนอันดับหนึ่งด้วย โดย ซาเละห์ฮุดดิน ฮัสซาน รองเลขาธิการกระทรวงอุตสาหกรรมการเกษตรของมาเลเซีย ประกาศว่า ไทยจะเป็นตลาดส่งออกทุเรียนรายใหม่ของมาเลเซียในเร็วๆ นี้
หากไทยยังมัวแต่ดีอกดีใจอยู่ว่าสามารถขายทุเรียนหมอนทองได้ 80,000 ลูกภายในไม่กี่นาทีที่เปิดขายในเว็บไซต์ Tmall ของ แจ็ก หม่า โดยไม่หาทางต่อยอดเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับทุเรียนของเรา รู้ตัวอีกทีมาเลเซียอาจจะแย่งตำแหน่งผู้ส่งออกทุเรียนอันดับหนึ่งในจีนจากมือเราไปแล้วก็ได้


