posttoday

'ไดโช' ขยายธุรกิจ จากข้าวสู่ออนไลน์

23 มิถุนายน 2561

กว่า 20 ปีในไทยกับบริษัท ไดโช (Daisho) ที่ผลักดันการทำธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่องในทุกปี

โดย วราภรณ์ เทียนเงิน

กว่า 20 ปีในไทยกับบริษัท ไดโช (Daisho) ที่ผลักดันการทำธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่องในทุกปี ท่ามกลางการแข่งขันของตลาดที่มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น โดย “ฮิเดกิ คาโตะ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไดโช ยังมองหาโอกาสการขยายธุรกิจในไทยเสมอ และเชื่อศักยภาพของไทยที่เป็นประตูการค้าที่สำคัญในภูมิภาคอาเซียน

“ฮิเดกิ คาโตะ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไดโช (ประเทศไทย) ผู้นำเข้าสินค้าทั้งอาหาร ผลไม้ และสินค้าเกษตรจากประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ตลาดในประเทศไทยมีความสำคัญและมีแนวโน้มการขยายตัวที่ดีในทุกปี โดยบริษัทพร้อมที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์จากญี่ปุ่นที่เป็นกลุ่มสินค้าระดับบน (พรีเมียม) เพื่อเจาะตลาดในไทยกลุ่มลูกค้าระดับบนตามแนวโน้มที่คนในประเทศมีกำลังซื้อสูงขึ้น ประกอบกับความนิยมบริโภคอาหารญี่ปุ่นมีเพิ่มขึ้น จากทิศทางที่คนไทยเดินทางไปท่องเที่ยวญี่ปุ่นในจำนวนไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน/ปี และขยายตัวในทุกปี

พร้อมกันนี้ บริษัทได้ขยายทำตลาดข้าวหน่วยงาน JA ที่เป็นหน่วยงานของญี่ปุ่นทำหน้าที่ส่งเสริมข้าว ทั้งข้าวพันธุ์ Koshihikari และ Premium Sushi rice ซึ่งเป็นข้าวพันธุ์ผสม โดย “Koshihikari” ถือเป็นข้าวญี่ปุ่นเป็นที่นิยมอย่างมากในญี่ปุ่น มีความนุ่ม และการหุงขึ้นหม้อ รวมถึงเมื่อหุงแล้วข้าวมีความหนึบและกรุบกรอบ จึงเหมาะไปทำซูชิ ส่วนข้าวจากฮอกไกโด (Hokkaido Rice) เป็นข้าวพันธุ์ผสมกับข้าวพันธุ์ Nanatsuboshi และข้าวพันธุ์ Nanastuboshi, Yimepirika ซึ่งได้เปิดตัวในช่วงงานไทยเฟกซ์ 2018 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ การเปิดตลาดข้าวญี่ปุ่นในไทยยังมีโอกาสเจาะตลาดทั้งกลุ่มร้านอาหาร ร้านค้าปลีก และผู้บริโภคในประเทศ จากในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา จำนวนร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยมีมากกว่า 2,700 ร้านค้าแล้ว เพิ่มขึ้นจาก 10 ปีก่อน ที่มีจำนวนประมาณ 1,000 ร้านค้า ส่วนใหญ่จะอยู่ใน กทม. ในสัดส่วน 80% ซึ่งแนวโน้มการเปิดสาขาใหม่ของร้านอาหารญี่ปุ่นตามหัวเมืองใหญ่ในประเทศจะมีเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

'ไดโช' ขยายธุรกิจ จากข้าวสู่ออนไลน์

ทั้งนี้ ประเมินว่า การขยายตลาดข้าวญี่ปุ่นในไทยจะทำให้ยอดขายในปี 2561 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 80 ตัน จากปีก่อน ที่มียอดขายรวมจำนวน 40 ตัน

“ในอดีตรัฐบาลญี่ปุ่นไม่ได้จูงใจให้ส่งออกข้าวญี่ปุ่นออกนอกประเทศ ต่อมาสถานการณ์เปลี่ยนไป คนสูงอายุในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น คนเกิดใหม่ลดลง และการบริโภคข้าวในญี่ปุ่นลดลง ทำให้รัฐบาลผลักดันการส่งออกข้าวออกนอกประเทศ” คาโตะ กล่าว

ขณะเดียวกัน ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทไม่หยุดนิ่งจะขยายธุรกิจใหม่ในไทย เพื่อให้สอดคล้องกับตลาดและพฤติกรรมของผู้บริโภค ทั้งการเปิดซูเปอร์มาร์เก็ต Makotoya อยู่ระหว่างซอยสุขุมวิท 51 และ 53 รวมถึงการขยายเปิดซูชิชอป แบรนด์ Sushi Ryu และ Nagomi Tei ในช่วงที่ผ่านมา

พร้อมกันนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการขยายสู่อี-คอมเมิร์ซอย่างเต็มรูปแบบในชื่อเว็บไซต์ http://honmononippon.com คาดว่าจะเปิดตัวได้อย่างเป็นทางการในช่วง 2 เดือนข้างหน้า โดยจะมีสินค้าทุกกลุ่มและมีบริการจัดส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าถึงบ้าน จากปัจจุบันบริษัทมีสินค้ารวมประมาณ 2,000-3,000 รายการ

'ไดโช' ขยายธุรกิจ จากข้าวสู่ออนไลน์

“คาโตะ” กล่าวว่า ในประเทศไทยถือเป็นศูนย์กลางสำคัญในการผลิตและกระจายสินค้าโลจิสติกส์ไปในประเทศต่างๆ และบริษัทก็มีความสนใจจะขยายตลาดไปในประเทศในภูมิภาคอาเซียน ทั้งประเทศกัมพูชา สปป.ลาว และเมียนมา ซึ่งอาจจะไปร่วมงานแสดงสินค้าในประเทศดังกล่าว และที่ผ่านมาก็มีลูกค้าโดยรอบจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาซื้อสินค้าในไทยอยู่แล้ว ซึ่งการไปขยายตลาดในประเทศเพื่อนบ้านมีโอกาสทั้งซูเปอร์มาร์เก็ต หรือธุรกิจอื่นๆ

“ตลาดในภูมิภาคอาเซียนมีการเติบโตสูงทั้งประเทศมาเลเซียและเวียดนาม ส่วนกัมพูชา เมียนมา และ สปป.ลาว ถือเป็นตลาดที่มีขนาดเล็ก แต่มีโอกาสเติบโตสูงในช่วง 10 ปีข้างหน้า ตามแนวโน้มคนอาเซียนที่ชื่นชอบ การรับประทานอาหารญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น” คาโตะ กล่าวทิ้งท้าย

ข่าวล่าสุด

ศาลชั้นต้น พิพากษาประหารชีวิต “เชษฐ์ปาดัง” เลขานายกปาดังเบซาร์