เมื่อไอวี ลีก สิ้นมนต์ขลัง ม.รัฐมาแรงกว่าฮาร์วาร์ด
งานนี้ใครที่คิดว่า “ไอวี ลีก” (Ivy League) หรือกลุ่มมหาวิทยาลัยเอกชนระดับแถวหน้าทั้ง 8 แห่งของสหรัฐ กวาดสารพัดตำแหน่งในตลาดแรงงานคงต้องผิดหวังอย่างแรง!
งานนี้ใครที่คิดว่า “ไอวี ลีก” (Ivy League) หรือกลุ่มมหาวิทยาลัยเอกชนระดับแถวหน้าทั้ง 8 แห่งของสหรัฐ กวาดสารพัดตำแหน่งในตลาดแรงงานคงต้องผิดหวังอย่างแรง!
โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ
แม้เศรษฐกิจช่วงครึ่งแรกของปี 2010 จะฟื้นตัวได้อย่างติดจรวดในฟากฝั่งเอเชีย และค่อยๆ กระเตื้องขึ้นทีละน้อยในฟากฝั่งตะวันตก ทว่าสถานการณ์ตลาดแรงงานวันนี้ กลับยังไม่สามารถฟื้นตัวคึกคักได้เหมือนเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ผู้ประกอบและองค์กรต่างๆ ยังไม่สามารถอ้าแขนได้กว้างพอที่จะรับคนเข้าทำงานได้เหมือนก่อน
โดยเฉพาะมหาอำนาจเบอร์ 1 ของโลก ที่ยังไม่สามารถผ่านวิบากกรรมปัญหาคนว่างงานได้ เมื่อตัวเลขการว่างงานในสหรัฐล่าสุดเดือน ส.ค. กลับเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน ขยับขึ้นไปอยู่ที่ 9.6% จาก 9.5% เมื่อเดือน ก.ค.
แน่นอนว่าในภาวะเช่นนี้ คำถามหนึ่งที่ผุดขึ้นในใจชาวอเมริกัน โดยเฉพาะในหมู่ “บัณฑิตป้ายแดง” และเหล่าคนหนุ่มสาวที่กำลังตบเท้าเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยทั้งหลาย คงหนีไม่พ้นคำถามที่ว่า
“ปริญญาจากสถาบันใด จึงจะเป็นตัวเลือกที่หอมหวานและน่าดึงดูดใจที่สุดสำหรับนายจ้าง ณ เวลานี้?”
งานนี้ใครที่คิดว่า “ไอวี ลีก” (Ivy League) หรือกลุ่มมหาวิทยาลัยเอกชนระดับแถวหน้าทั้ง 8 แห่งของสหรัฐ ที่ผลิตบัณฑิตระดับหัวกะทิออกสู่สังคมมากว่า 75 ปี โดยเฉพาะบรรดาผู้นำสหรัฐตั้งแต่รุ่นลายครามกระทั่งผู้นำรุ่นใหม่ อาทิ บารัก โอบามา บิล คลินตัน จอห์น เอฟ. เคนเนดี หรือ ฮิลลารี คลินตัน จะซิวแชมป์ กวาดสารพัดตำแหน่งในตลาดแรงงานไปครองแบบไม่เหลือให้ศิษย์สำนักอื่นได้เชยชม คงต้องผิดหวังอย่างแรง!
เพราะเวลานี้คือยุคทองของมหาวิทยาลัยรัฐบาลแล้ว
ผลการสำรวจความเห็นของฝ่ายคัดเลือกบุคลากร (Recruiter) จากบริษัทเอกชนกว่า 500 แห่งในสหรัฐ ที่รับสมัครพนักงานใหม่กว่า 4.3 หมื่นตำแหน่ง เข้าทำงานเมื่อปี 2009 ซึ่งจัดทำโดยหนังสือพิมพ์วอลสตรีต เจอร์นัล พบว่าเวลานี้บัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาจากรั้วมหาวิทยาลัยของรัฐ กำลังขึ้นแท่นกลายเป็น “ลูกรัก” หรือบุคลากรเนื้อหอมที่เหล่านายจ้างอยากร่วมงานด้วยมากที่สุด
3 มหาวิทยาลัยรัฐบาลที่ขึ้นแท่นท็อปทรีของการจัดอันดับในครั้งนี้ คือ มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย สเตต มหาวิทยาลัยเทกซัส เอแอนด์เอ็ม และมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ ในเออร์บานา-แชมเปญ
ขณะที่ตัวเก็งอย่างมหาวิทยาลัยในกลุ่มไอวี ลีก กลับมีฮีโร่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่หลุดเข้ามาติดโผ ในอันดับที่ 15 คือ มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ ส่วนเพื่อนพ้องร่วมสังกัดอีก 7 แห่งนั้น แม้จะเป็นม้าเต็ง แต่ก็ไม่สามารถวิ่งเข้าสู่เส้นชัยได้ตามที่หวัง
ทว่า อะไรคือปัจจัยที่ทำให้มหาวิทยาลัยระดับท็อปของโลกอีก 7 แห่งในไอวี ลีก อย่าง ฮาร์วาร์ด เยล เพนซิลเวเนีย พรินซ์ตัน โคลัมเบีย บราวน์ และดาร์ตมัท เสื่อมมนต์ขลัง
ซีเอ็นเอ็นมันนี่ ระบุว่า ผลการสำรวจดังกล่าวเป็นการตอกย้ำข้อถกเถียงที่ว่า “ความรุ่งโรจน์ของมหาวิทยาลัยเอกชนชั้นนำกำลังเสื่อมถอยลง” นั้นเป็นเรื่องจริง
ขณะที่วอลสตรีต เจอร์นัล อธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้บริษัทและองค์กรต่างๆ ตัดสินใจหันมาเรียกใช้บริการนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยรัฐแทนมหาวิทยาลัยระดับอีลิต ว่ามาจากเหตุผลหลายประการด้วยกัน
ประการแรก เป็นผลโดยตรงจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา ทำให้บริษัทต่างๆ ต้องหันมาลดต้นทุน และรัดเข็มขัดมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ต้องรักษาประสิทธิภาพในการกระบวนการสรรหาพนักงานใหม่
ด้วยเหตุนี้ บรรดาผู้จัดการแผนกคัดสรรบุคลากรส่วนใหญ่ จึงหันมาลดค่าใช้จ่ายในกระบวนการสรรหาคน ด้วยการลดจำนวนมหาวิทยาลัยที่จะออกไปโรดโชว์ลง
ไดแอน บอร์ฮาดี หัวหน้าฝ่ายคัดเลือกบุคลากรเดอลอยด์ แอลแอลพี กล่าวว่า ทางบริษัทตัดสินใจลดการจำนวนมหาวิทยาลัยที่จะออกโรดโชว์ลงจาก 500 แห่ง เหลือเพียง 400 แห่ง เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
เช่นเดียวกับ สตีฟ คาแนล หัวหน้าฝ่ายคัดเลือกบุคลากรเของเจเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) เปิดเผยว่า ทางบริษัทเลือกที่จะลดค่าใช้จ่าย โดยการเน้นไปลงพื้นที่ในมหาวิทยาลัยกลุ่มเป้าหมาย 40 แห่ง ซึ่งในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ
ประการที่สอง คือ ข้อจำกัดของมหาวิทยาลัยในกลุ่มไอวี ลีก เอง ที่รับนักศึกษาระดับปริญญาตรีเข้าศึกษาในจำนวนที่จำกัด ทำให้บัณฑิตที่จบออกมาในแต่ละปีมีน้อย ต่างจากมหาวิทยาลัยรัฐที่สามารถผลิตนักศึกษาในแต่ละปีออกมาได้ปีละมากๆ ทำให้นักศึกษาที่จบในแต่ละปี มีคุณสมบัติและทักษะที่หลากหลาย เปิดโอกาสให้นายจ้างสามารถเสาะหาผู้ที่มีความสามารถตรงกับความต้องการของบริษัทได้มากขึ้น
นอกจากนี้ ยังพบว่านักศึกษาส่วนใหญ่ที่จบจากมหาวิทยาลัยรัฐ จะมีทักษะความรู้ในหลายด้าน และสามารถปรับตัวเข้ากับองค์กรที่สังกัดได้เป็นอย่างดีกว่าบัณฑิตจากรั้วไอวี ลีก
สอดคล้องกับความคิดเห็นของโคลว์ดี โกลด์ดิน อาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่ยอมรับว่า ทางมหาวิทยายาลัยไม่ได้สอนวิชาที่เป็นหลักสำคัญขั้นพื้นฐานให้นักศึกษา สำหรับนำไปใช้ประโยชน์ในการทำงาน
กระนั้นก็ตาม นอกจากจุดอ่อนหลายประการที่ไล่เรียงมาข้างต้น จะกัดเซาะและบั่นทอนความเป็นผู้นำด้านการศึกษาของกลุ่มมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกมานานปีแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยที่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีส่วนสำคัญ ที่ทำให้กลุ่มไอวี ลีก เข้าสู่ยุคเสื่อมถอยก็คือ คุณภาพด้านการเรียนการสอนที่ลดลง
จากรายงานของ ดิ อีโคโนมิสต์ ระบุว่า ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ค่าเล่าเรียนในมหาวิทยาลัยกลุ่มไอวี ลีก ได้พุ่งทะยานแซงหน้ารายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนของชาวอเมริกันไปแล้วถึง 14 เท่า ขณะที่ค่าเล่าเรียนของมหาวิทยาลัยรัฐเพิ่มขึ้น 3 เท่า ท่ามกลางการตั้งคำถามถึงคุณภาพการศึกษาที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นไปด้วย
บิล บอนเนอร์ จากเว็บไซต์ด้านเศรษฐกิจ เดอะ เดลี เรคคอนนิง ได้ตั้งคำถามจากรายงานของ ดิ อีโคโนมิสต์ ชิ้นนี้ว่า “เราไม่ได้สังเกตเห็นการพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่ดีขึ้นแม้แต่น้อย แล้วเหตุใดค่าเล่าเรียนในเวลานี้จึงเพิ่มขึ้น”
บอนเนอร์ ระบุว่าปัจจุบันนักศึกษาถูกลดเวลาเรียนในแต่ละสัปดาห์ลงจาก 24 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เหลือเพียง 14 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ขณะที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเอง ก็มีการจ้างเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารจัดการเพิ่มขึ้นถึง 300% นับตั้งแต่ปี 2536
นอกจากนี้ บรรดาคณาจารย์ในมหาวิทยาลัยกลุ่มไอวี ลีก ยังได้รับอภิสิทธิ์ให้พักจากการสอนได้ทุก 3 ปี ทั้งที่ตามหลักสากลกำหนดไว้ที่ 7 ปี โดยในปีนี้จะมีอาจารย์วิชาประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ลาพักจากการสอนถึง 20 คน จากทั้งหมด 48 คน
ขณะเดียวกันยังพบว่าปัญหาส่วนหนึ่ง ก็มาจากตัวนักศึกษาที่จบจากไอวี ลีกด้วย โดยนักศึกษาฮาร์วาร์ดกว่า 55% มีแนวโน้มที่จะศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก ทำให้บัณฑิตเหล่านี้เลือกที่จะทำงานกับองค์กรใดองค์กรหนึ่งในระยะเวลาสั้นๆ จากนั้นก็ลาออก
อย่างไรก็ตาม แม้ผลสำรวจของวอลสตรีต เจอร์นัล ในครั้งนี้ จะสะท้อนให้เห็นถึง “ยุคมืดของไอวี ลีก” ทว่าสำหรับโฆษกของฮาร์วาร์ด กลับไม่คิดเช่นนั้น และย้ำว่านักศึกษาจากฮาร์วาร์ด ยังคงเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสายวิชาชีพ
เช่นเดียวกับ โมนิกา วิลสัน จากมหาวิทยาลัยดาร์ตมัท ที่เห็นว่าผลการสำรวจดังกล่าวไม่ใช่การสะท้อนภาพรวมของตลาดแรงงาน
“เราจะเปรียบเทียบมหาวิทยาลัยรัฐขนาดใหญ่ กับมหาวิทยาลัยด้านอักษรศาสตร์ ซึ่งผลิตบัณฑิตออกสู่ตลาดแรงงานได้เพียงปีละไม่ถึง 750 คนได้อย่างไร”
แต่ไม่ว่าจะเป็น “ยุคมืด” หรือ “ยุคทอง” ของใคร เหล่าบัณฑิตใหม่ของทุกรั้วก็ต้องพร้อมรับมือให้ได้เสมอ...


