posttoday

ส่องบิ๊กเซลส์ ฮ่องกง-สิงคโปร์ ขายช่วยชาติ

27 พฤศจิกายน 2559

สิงคโปร์และฮ่องกงนับเป็นตัวอย่างในการจัดเทศกาลลดราคาสินค้าครั้งใหญ่เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมค้าปลีกในประเทศ

โดย...ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

ในต่างประเทศมีมาตรการจัดเทศกาลลดราคาสินค้าครั้งใหญ่เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมค้าปลีกในประเทศ ด้วยการดึงนักช็อปทั้งในและต่างประเทศเข้ามาจับจ่ายใช้สอย โดยในแทบละแวกประเทศเอเชียด้วยกัน สิงคโปร์และฮ่องกงนับเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด

สิงคโปร์มีเทศกาลลดราคาสินค้าทั้งประเทศ หรือที่เรียกว่า “เกรท สิงคโปร์ เซลส์” (จีเอสเอส) มาตั้งแต่ปี 1994 จัดโดยสมาคมค้าปลีกสิงคโปร์ ซึ่งจุดเด่นที่ทำให้จีเอสเอสไม่ใช่เพียงงานลดราคาสินค้าทั่วไป เป็นเพราะความหลากหลายของสินค้าตั้งแต่บรรดาห้างหรูริมถนนออร์ชาร์ด ไปจนถึงย่านลิตเติ้ลอินเดีย และไชน่าทาวน์ อีกทั้งยังมีการประสานความร่วมมือยังภาคการท่องเที่ยวทั้งในส่วนของตั๋วเครื่องบิน โรงแรม และงานนิทรรศการต่างๆ เพื่อดึงดูดการท่องเที่ยวแบบครบวงจร ทำให้นักท่องเที่ยว 6.64 แสนคน ในปีแรกที่ก่อตั้ง มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นหลักล้านคน

การลดราคาจริงสูงสุดถึง 70% โดยไม่มีการลักไก่แอบขึ้นราคาไปก่อน อีกทั้งนักท่องเที่ยวยังสามารถทำเรื่องขอคืนภาษีได้จากภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% หากซื้อสินค้าครบ 100 เหรียญสิงคโปร์ ทำให้เทศกาลจีเอสเอสได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2013 บริษัทบัตรเครดิตมาสเตอร์การ์ดได้ร่วมทำแคมเปญและสามารถดึงดูดการใช้จ่ายผ่านบัตรได้ถึงเกือบ 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วง 4 สัปดาห์ของเทศกาลวันที่ 31 พ.ค.-28 ก.ค.

สำหรับที่ฮ่องกง ช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดสำหรับการช็อปปิ้งบนเกาะฮ่องกง คือ ซัมเมอร์เซลส์ ช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย. ที่ลดทั้งเกาะสูงสุด 70-80% และ วินเทอร์เซลส์ ช่วงเดือน ธ.ค.-ก.พ. ซึ่งเป็นการลดราคาในช่วงคริสต์มาสจนไปถึงวันตรุษจีน

ฮ่องกงมีการใช้มาตรการดึงดูดนักช็อปอย่างจริงจังเริ่มในปี 2010​ โดยนอกจากมีการลดราคาสินค้าแล้ว ยังมีการจับมือกับภาคธนาคารในการนำเสนอสินค้าปลอดภาษีให้กับชาวต่างชาติอีกด้วย ส่งผลให้ยอดการจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มเติบโตมากถึง 21.8% ในปีดังกล่าว และเติบโตอีก 16% ในปี 2011-2012 ก่อนเติบโตราว 11-12% ในช่วงปี 2013-2014

อย่างไรก็ตาม การจัดงานเซลส์อย่างเป็นระบบทั้งเกาะไปพร้อมการท่องเที่ยวโดยใช้จุดขายที่การลดราคาสินค้าให้ถูกจริง พร้อมยังให้สิทธิแทกซ์รีฟันด์แก่นักท่องเที่ยว ก็อาจไม่เพียงพอสำหรับการแข่งขันในปัจจุบันที่เปลี่ยนไปและเข้มข้นรุนแรงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีภาพรวมน่าดึงดูดกว่าในจังหวะที่ค่าเงินถูกกว่า หรือแม้แต่การแข่งขันจากธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ 

ค่าเงินเหรียญฮ่องกงที่แข็งค่าขึ้น กดดันการจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยว ส่งผลให้ยอดขายภาคค้าปลีกปรับลดลงมาตลอด 19 เดือนที่ผ่านมานับถึงเดือน ก.ย. โดยปรับลดลง 4.1% ในเดือน ก.ย.อยู่ที่ 3.38 หมื่นล้านเหรียญฮ่องกง (ราว 1.5 แสนล้านบาท) ต่อเนื่องจากเดือน ส.ค.ที่ลดลงไปแล้ว 10.5%

ไม่เพียงแต่เชิงมูลค่าเท่านั้น แต่ค้าปลีกฮ่องกงในด้านปริมาณก็ปรับลดลงเช่นกัน โดยลดลงไป 3.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ต่อเนื่องจากเดือน ส.ค.ที่ลดลงไปแล้ว 11% เนื่องมาจากค่าเงินเหรียญฮ่องกงที่แข็งค่าขึ้นตามการตรึงค่าเงินไว้กับค่าเงินเหรียญสหรัฐ อีกทั้งนักท่องเที่ยวจากจีนซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ยังหายไปอีกมาก ทั้งผลพวงจากปัญหาการเมืองและจากพฤติกรรมชาวจีนที่รวยขึ้น และหันไปช็อปสินค้าแบรนด์เนมถึงยุโรปกันมากขึ้น

ฮ่องกงซึ่งเคยเป็นที่นิยมจากชาวจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ กลับมีนักท่องเที่ยวลดลง 3% ในเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และตามหลังเดือน ส.ค.ที่ลดลงไป 9.4% แม้ในช่วง 2 เดือนเหล่านั้นจะเป็นช่วงซัมเมอร์เซลส์ก็ตาม ซึ่งการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวลดลง 13.6% เหลือ 1.43 แสนล้านเหรียญฮ่องกง (ราว 6.56 แสนล้านบาท)

“พวกเรามีมาตรการเพื่อควบคุมค่าใช้จ่าย ขณะที่ต้องมุ่งให้ความสนใจกับลูกค้าชาวฮ่องกงมากกว่า” คารอล แฟร์เวทเธอร์ ประธานบริหารการเงิน (ซีเอฟโอ) ของเบอร์เบอรี ค้าปลีกชื่อดังจากอังกฤษ กล่าว โดยเบอร์เบอรีเห็นว่า นักท่องเที่ยวที่เข้าไปเที่ยวเกาะฮ่องกงและเข้าไปจับจ่ายในเบอร์เบอรี ลดลงติดต่อกัน 6 เดือน นับถึงเดือน ก.ย.

ด้าน เออร์วัน แรมเบิร์ก หัวหน้าฝ่ายวิจัยลูกค้าและค้าปลีกของธนาคารเอชเอสบีซี เปิดเผยว่า ฮ่องกงสูญเสียจุดขายในด้านการเป็นแหล่งช็อปปิ้งสินค้าไปให้กับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียที่มีราคาถูกกว่า เช่น เมื่อเทียบกับญี่ปุ่นที่มีการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับนักท่องเที่ยวแล้ว ประกอบกับค่าเงินเหรียญฮ่องกงที่แข็งค่าตามเหรียญสหรัฐ จะทำให้ราคาของสินค้าในญี่ปุ่นถูกกว่า

ในขณะเดียวกัน รัฐบาลฮ่องกงรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น จึงได้ลดงบประมาณในการสนับสนุนการช็อปปิ้งและการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวลงจาก 30 ล้านเหรียญฮ่องกง (ราว 137 ล้านบาท) เหลือ 20 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 91 ล้านบาท) ซึ่งรวมถึงงบประมาณในด้านการจัดเทศกาลช็อปปิ้งที่มีการให้คูปองลดราคาสินค้า

ขณะที่สิงคโปร์เองก็มีการปรับตัวมากเช่นกัน หลังจากยอดขายปรับตัวลงติดต่อกันตั้งแต่ปี 2014 โดยยอดค้าปลีกไม่รวมเครื่องยนต์ ในปี 2016 ปรับลงมา 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งคาดว่าเป็นผลมาจากเศรษฐกิจชะลอตัวลงทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงจีเอสเอสอาจจะเริ่มหมดความน่าดึงดูดลงไป ทำให้ในปีนี้ได้ขยายเทศกาลช็อปปิ้งจาก 8 สัปดาห์เป็น 12 สัปดาห์ เริ่มต้นในวันที่ 3 มิ.ย.ที่ผ่านมา ส่งผลให้ยอดขายในช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ค.ปรับตัวสูงขึ้นเป็นประจำทุกปี

“จีเอสเอสสูญเสียความเป็นตัวเองไป และต้องการการรีแบรนด์ โดยงานดังกล่าวต้องมีจุดมุ่งหมาย ไม่ใช่แค่งานลดราคาดาษๆ งานหนึ่ง เพราะลูกค้าเริ่มเบื่อกับรูปแบบนี้แล้ว” จิมมี หว่อง ผู้เชี่ยวชาญจากคณะธุรกิจมหาวิทยาลัยซิม กล่าว

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา