posttoday

อินโดฯเร่งปรับตัว รับมือเศรษฐกิจทรุด

16 มีนาคม 2559

ธนาคารโลก ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจอินโดนีเซียปี 2016 นี้ ลงจาก 5.3% เหลือ 5.1%

โดย...ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจอินโดนีเซียปี 2016 นี้ ลงจาก 5.3% เหลือ 5.1% โดยมีแนวโน้มที่อินโดนีเซียจะไม่สามารถทำตามเป้ารายได้ภาครัฐของปีนี้ที่ 1,547 ล้านล้านรูเปียห์ (ราว 4.13 ล้านล้านบาท) ส่งผลจำกัดการลงทุนของภาครัฐ ประกอบกับเศรษฐกิจโลกชะลอตัว จึงทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจต้องพึ่งพาการลงทุนของภาคเอกชนเพียงอย่างเดียว

ขณะเดียวกัน กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจอินโดนีเซียจะขยายตัวอยู่ที่ 4.9% เมื่อเทียบกับ 4.7% ในปี 2015 และ 5% ในปี 2014 จากการลงทุนภาครัฐและความเชื่อมั่นจากต่างชาติ แต่ยังคงมีความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกทั้งราคาโภคภัณฑ์ตกต่ำ ความผันผวนของการเงินโลก และการชะลอตัวของตลาดเกิดใหม่ ซึ่งเป็นคู่ค้าของอินโดนีเซีย

ไอเอ็มเอฟ ระบุว่า แม้การลดการอุดหนุนพลังงานจะช่วยให้รัฐบาลอินโดนีเซียมีรายได้มากขึ้น แต่ราคาน้ำมันถูกจะส่งผลให้รายได้ของรัฐบาลไม่ถึงเป้าหมาย ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องกระจายการหารายได้ไปยังภาคอื่น เพื่อที่รัฐบาลอินโดนีเซียจะได้มีงบประมาณไว้ใช้สำหรับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและสังคม เพื่อช่วยการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

จ่อเลิกอุดหนุนดีเซลดันใช้จ่ายรัฐ

กระทรวงพลังงานอินโดนีเซีย กำลังพิจารณายกเลิกการอุดหนุนพลังงานดีเซล ตามแผนของรัฐบาลที่จะเพิ่มรายได้เพื่อการลงทุนภาครัฐ โดยแผนดังกล่าวยังคงต้องรอการพิจารณาจากรัฐสภาก่อน นอกจากนี้ยังเสนอตั้งกองทุน 3 ล้านล้านรูเปียห์ (ราว 1 หมื่นล้านบาท) ในปี 2017 เพื่อส่งเสริมพลังงานทดแทนและสร้างคลังน้ำมันทางตะวันออกของอินโดนีเซีย

แม้ประธานาธิบดี โจโก วิโดโด จะพยายามควบคุมการใช้งบประมาณขาดดุลด้วยการลดค่าใช้จ่ายการอุดหนุนน้ำมันลงราว 90% ซึ่งลดการอุดหนุนน้ำมันเบนซินในเปอร์ตามินา รัฐวิสาหกิจพลังงานอินโดนีเซีย และปรับการอุดหนุนน้ำมันดีเซลเป็นอัตราเดียวคือ 1,000 รูเปียห์/ลิตร ทว่ารายได้จากน้ำมันและโภคภัณฑ์ก็ยังคงลดลง ส่งผลให้งบประมาณปี 2015 เกินดุลอยู่ที่ 2.53% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)

รายได้หดหันดึงต่างชาติลงทุน

การส่งออกอินโดนีเซียเดือน ก.พ. ปรับลง 7.18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หดตัวน้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือน ต.ค. 2014 ขณะที่การนำเข้าลดลง 11.71% ส่งผลให้การค้าเกินดุลอยู่ที่ 1,140 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.99 หมื่นล้านบาท)

อย่างไรก็ตาม อัลเดียน ทาโลพุตรา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด เปิดเผยว่า ยังไม่สามารถตัดสินได้ว่าการส่งออกของอินโดนีเซียฟื้นตัวด้วยตัวเลขจากเดือน ก.พ.เพียงเดือนเดียว เพราะเป็นผลมาจากราคาสินค้าวัตถุดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น มะพร้าวแห้ง

ขณะเดียวกัน โทมัส เลมบอง รัฐมนตรีพาณิชย์อินโดนีเซีย เปิดเผยว่า อินโดนีเซียจะต้องเปิดตลาดรับต่างชาติลงทุนมากขึ้น ให้เหมือนกับเวียดนามและฟิลิปปินส์ ซึ่งพึ่งพาการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์เหมือนกัน แต่สามารถรอดจากเศรษฐกิจถดถอยได้จากการเปิดตลาดรับการลงทุนต่างชาติ และหันไปพึ่งพาการส่งออกอื่นที่ไม่ใช่น้ำมันและก๊าซ

เลมบอง ระบุว่า ในปัจจุบันการลงทุนจากต่างชาติในเวียดนามได้นำหน้าอินโดนีเซียไปแล้ว เช่นเดียวกับการส่งออกสินค้าอื่นที่ไม่ใช่น้ำมันและก๊าซในอินโดนีเซียที่พ่ายให้กับเวียดนามและฟิลิปปินส์ ดังนั้นอินโดนีเซียจึงต้องให้ความสนใจกับการลงทนจากต่างชาติเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมในประเทศ ด้วยการเปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษเพิ่มขึ้น

“ฟิลิปปินส์มีเขตเศรษฐกิจพิเศษ 300 แห่ง แต่เรามีแค่ 8 แห่งเท่านั้น” เลมบอง ระบุ

มาเลย์ตั้งภาษีส่งออกน้ำมันปาล์ม

มาเลเซียปรับภาษีการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบขึ้นเป็น 5% สำหรับเดือน เม.ย. หลังจากใช้ภาษี 0% เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน พ.ค. 2015 เพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่โรงกลั่นในประเทศ หลังจากที่ความต้องการน้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้น โดยไม่มีการตั้งภาษีสำหรับการส่งออกน้ำมันปาล์มกลั่นแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม บรรดาเทรเดอร์ในมาเลเซียต่างคาดการณ์ว่า นโยบายดังกล่าวจะกระทบต่อบริษัทส่งออก ขณะเดียวกัน ปรากฏการณ์เอลนินโญจะส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ราว 2,700-3,000 ริงกิต ภายในเดือน มิ.ย.

ความต้องการน้ำมันปาล์มในต่างประเทศปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอินโดนีเซียที่วางแผนจะให้ 20% ของไบโอดีเซลในประเทศ เป็นไบโอดีเซลที่ผลิตจากน้ำมันปาล์ม เพื่อลดต้นทุนนำเข้าพลังงานและสร้างความต้องการไบโอดีเซล อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันที่ตกลงจะทำให้ความต้องการน้ำมันเพิ่มขึ้นมากกว่าความต้องการไบโอดีเซล

ราคาน้ำมันฟื้นไม่มาก

หลังจากสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (อีไอเอ) เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันได้ถึงจุดต่ำสุดแล้วและจะค่อยๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังผู้ผลิตลดกำลังการผลิต อย่างไรก็ตาม เจมี เว็บสเตอร์ รองประธานตลาดน้ำมันดิบจากไอเอชเอส เอเนอร์จี เปิดเผยว่า หากราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นไป ผลผลิตน้ำมัน โดยเฉพาะน้ำมันจากหินดินดาน (เชลออยล์) ของสหรัฐ จะปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย และราคาก็จะลงอีก

ขณะเดียวกัน โจฮานเนส เบนิกนี ผู้อำนวยการจัดการจากจีบีซี เอเนอร์จี ระบุว่า การตกลงคงกำลังการผลิตระหว่างรัสเซีย ซาอุดิอาระเบีย กาตาร์ และเวเนซุเอลา เป็นแค่แผนการใช้การสื่อสารเพื่อสนับสนุนราคาน้ำมันเท่านั้น แต่ความจริงคือทุกฝ่ายไม่มีแนวโน้มปรับลดกำลังการผลิต

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสปรับตัวลงต่อเนื่องอีก 82 เซนต์ มาอยู่ที่ 36.36 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ระหว่างการซื้อขายเมื่อเวลา 17.14 น. ของวันที่ 15 มี.ค. ตามเวลาในไทย ขณะที่เบรนต์ลงมา 84 เซนต์ อยู่ที่ 38.69 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

ภาพ...เอเอฟพี

ข่าวล่าสุด

4 หน่วยงานลุย "สะพานสมุย" พ่วงน้ำ-ไฟ-เน็ต แก้ปัญหาระยะยาว