'กรีนเดย์' เจาะกำลังซื้ออาเซียน
“กรีนเดย์” ผลิตภัณฑ์ผัก-ผลไม้อบกรอบเทรนด์ใหม่ของคนรักสุขภาพ วางเป้าหมายใหม่เพื่อขยายตลาดในอาเซียน
โดย...รัชนีกร รัตนชัยฤทธิ์
“กรีนเดย์” ผลิตภัณฑ์ผัก-ผลไม้อบกรอบเทรนด์ใหม่ของคนรักสุขภาพ วางเป้าหมายใหม่เพื่อขยายตลาดในอาเซียน สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคทั่วโลกที่หันมาให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ
ชัยรัตน์ คงศุภมานนท์ รองประธานกรรมการ บริษัท กรีนเดย์ โกลบอล เล่าที่มาของธุรกิจว่า เริ่มจากการต่อยอดธุรกิจเทรดดิ้งของครอบครัว บวกกับความรู้ด้านวิทยาศาสตร์อาหารที่ร่ำเรียนมาและความชอบด้านการทำธุรกิจ จึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์กรีนเดย์ขึ้นมา โดยเริ่มจากแนวคิดการนำผักผลไม้มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อบกรอบและเริ่มต้นส่งออกไปยังอเมริกา
หลังจากส่งออกไปในต่างประเทศแล้วชัยรัตน์ เห็นว่าตลาดในไทยเองก็เป็นที่น่าสนใจไม่น้อยและอยากให้คนไทยมีโอกาสลองชิมผักผลไม้ในรูปแบบสแน็กจึงเริ่มทำการตลาดในไทยโดยมุ่งเน้นไปทางตลาดพรีเมียมก่อน
ต่อมาเขาเริ่มมองเป้าหมายในอาเซียน เนื่องจากประชากรในอาเซียนกว่า 600 ล้านคน เป็นตลาดขนาดใหญ่และมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก กรีนเดย์จึงอยากเข้าไปเป็นเจ้าแรกๆ ที่เข้าไปทำตลาดสินค้าประเภทนี้ และเข้าไปจับกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อเพื่อขยายตลาดต่อไปในอนาคต ซึ่งปัจจุบันกรีนเดย์ขยายธุรกิจไปแล้ว 6 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม เมียนมา และฟิลิปปินส์
ชัยรัตน์ เผยถึงพฤติกรรมผู้บริโภคในสิงคโปร์และมาเลเซียนั้น มีวัฒนธรรมและรสนิยมคล้ายกัน โดยทั้งสองประเทศนี้เป็นประเทศเปิด ทำให้มีสินค้าหลากหลาย ผู้บริโภคมีผลิตภัณฑ์ให้เลือกมากมาย ดังนั้นกลยุทธ์การทำตลาดต้องให้ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ให้ผู้บริโภคเข้าใจข้อดีของสินค้า และทำให้เขามั่นใจในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ของเรา
สำหรับตลาดในเวียดนามนั้น จะพบว่ามีหลายๆ อย่างที่เขามีความคล้ายคลึงกับสินค้าไทย ดังนั้นหากจะค้าขายกับคนเวียดนามต้องเน้นสิ่งที่เขาไม่มี เช่น ผลิตภัณฑ์ที่กลุ่มสตรอเบอร์รี่ บร็อกโคลี่ เป็นต้น
“เราต้องทำสินค้าที่ดีมีคุณภาพ นั่นคือโจทย์หลักของเรา แต่สินค้าดีจะกระจายไปไม่ได้เลยหากขาดพันธมิตรทางการค้าที่ดี ดังนั้นเราต้องเลือกพันธมิตรการค้าในแต่ละประเทศให้ดี และพร้อมที่จะทำการตลาด เนื่องจากสินค้าเราเป็นแบรนด์ใหม่จึงต้องมีการทำการตลาดที่ใกล้ชิดกัน และต้องตอบโจทย์ให้ได้ว่าคนชอบทานสินค้าของเราเพราะอะไร และต้องสื่อสารกับผู้บริโภคให้เข้าใจว่าสินค้าของกรีนเดย์นั้นไม่เพียงแต่อร่อยเท่านั้น แต่ยังผลให้สุขภาพดีอีกด้วย” ชัยรัตน์ กล่าว
สำหรับการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แบรนด์ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับแบรนด์ เพื่อทำให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่าในการซื้อ และมีการปรับดีไซน์ต่างๆ ให้สวยงาม นอกจากนี้ยังต้องจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ เช่น การทำตัวอย่างให้ลูกค้าได้ทดลองชิม
ด้านรูปแบบการจัดจำหน่ายสินค้าของกลุ่มประเทศอาเซียนจะเป็นไปในรูปแบบเดียวกันหมด คือ การมีพันธมิตรทางการค้าที่เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าในแต่ละประเทศ และมีการประชาสัมพันธ์จากสื่อออนไลน์ที่พันธมิตรในประเทศปลายทางทำขึ้นเพื่อสื่อสารให้ลูกค้ารู้จักผลิตภัณฑ์กรีนเดย์มากยิ่งขึ้นด้วย
จุดขายสำคัญของกรีนเดย์ คือ เน้นวัตถุดิบที่คัดสรรจากผักผลไม้จริง และมีกรรมวิธีการผลิตเฉพาะที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ออกมามีรสชาติเดิมของผลไม้ชนิดนั้นๆ
“อีกสิ่งสำคัญคือเราคิดต่างจากคนอื่น คนอื่นใช้น้ำมันปาล์มแต่เราเลือกใช้น้ำมันรำข้าว เราคำนึงถึงคุณภาพเป็นสำคัญ ผักผลไม้ที่เป็นวัตถุดิบเราคัดแต่วัตถุดิบระดับพรีเมียม โดยมีแนวคิดเหมือนทำอาหารให้คนในครอบครัวทาน เราจะคัดแต่สิ่งที่ดีที่สุด” ชัยรัตน์ กล่าว
ขณะที่การนำวัตถุดิบชั้นดีและกรรมวิธีแบบเฉพาะเจาะจง ทำให้ผลิตภัณฑ์กรีนเดย์เน้นจับกลุ่มเป้าหมายระดับกลาง-บนในทุกประเทศอาเซียน และกลุ่มลูกค้าที่ค่อนข้างชัดเจน คือ กลุ่มแม่และเด็ก ที่แม่เองก็อยากซื้อสิ่งดีๆ ให้ลูกทานและสามารถทานเองได้ด้วย และอีกกลุ่มหนึ่งคือในผู้หญิงวัยทำงานที่เน้นความใส่ใจในการดูแลสุขภาพ
สำหรับอุปสรรคในธุรกิจนั้น ชัยรัตน์ กล่าวว่า ยิ่งเติบโตมากก็ยิ่งต้องใช้เงินลงทุน และอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องคอยดูแลให้ดีคือการหาวัตถุดิบให้พอเพียงแก่การขยายของธุรกิจ สิ่งสำคัญอีกประการคือการหาพันธมิตรการค้าที่ดีในประเทศอาเซียน เนื่องจากถ้าพันธมิตรไม่ช่วยทำตลาดให้สินค้าก็ส่งผลให้สินค้าไม่สามารถเติบโตในตลาดนั้นๆ ได้
ในปี 2558 ยอดขายรวมทั้งหมดของกรีนเดย์มีมูลค่า 300 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นอัตราส่วนในไทยร้อยละ 25 กลุ่มประเทศอาเซียนร้อยละ 10 และอเมริกา ยุโรป รัสเซีย จีน และเอเชียตะวันออก รวมร้อยละ 65 โดยคาดหวังว่าจะมีการเติบโตอีกเท่าตัวในปีหน้า
แนวโน้มในอนาคตกรีนเดย์จะเน้นธุรกิจที่มาเสริมธุรกิจหลัก เช่น การลงไปเพาะปลูกสินค้าเองแต่ก็ยังคงรับวัตถุดิบจากเกษตรกรอยู่ด้วย โดยอยากให้การเพาะปลูกที่ทำขึ้นเองนั้นเป็นการวิจัยร่วมกับสถาบันการศึกษาต่างๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพผลผลิตต่อไร่ให้มากขึ้น อีกทั้งในอนาคตก็อยากทำฟาร์มเพาะปลูกให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกด้วย
เช่นเดียวกับกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งในอนาคตกรีนเดย์มีความสนใจเข้าไปหาวัตถุดิบต้นน้ำที่ประเทศต่างๆ ที่ประเทศไทยไม่มี เพื่อเพิ่มแหล่งวัตถุดิบของกรีนเดย์ต่อไป


