เปิดสูตรเสียภาษีผู้ถือหุ้น รับเงินปันผลจากต่างประเทศ
หลังรวมเป็นประชาคมอาเซียนอย่างเป็นทางการ ระยะนี้จึงได้เห็นและได้ยินข่าวเกี่ยวกับนโยบายการขยายการลงทุนของกลุ่มทุนไทยเข้าไปในประเทศกลุ่มอาเซียน
โดย...เบญจมาศ กุลกัตติมาส
หลังรวมเป็นประชาคมอาเซียนอย่างเป็นทางการ ระยะนี้จึงได้เห็นและได้ยินข่าวเกี่ยวกับนโยบายการขยายการลงทุนของกลุ่มทุนไทยเข้าไปในประเทศกลุ่มอาเซียน โดยเฉพาะกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี และปลายทางยอดนิยมก็คือ เมียนมา
การขยายกิจการในต่างประเทศอาจอยู่ในรูปของการเข้าไปลงทุนเอง หรือหาพันธมิตรในประเทศนั้นๆ ซึ่งอาจจะเป็นการร่วมลงทุนโดยจัดตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่ หรือเข้าไปซื้อกิจการในประเทศนั้นๆ โดยซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิม เมื่อไปถือหุ้นในบริษัทต่างประเทศ และผู้ถือหุ้นไทยได้รับผลตอบแทนในรูปเงินปันผล ก็อาจต้องเสียภาษีทั้งในต่างประเทศและประเทศไทย
วันนี้จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับภาระภาษีจากเงินปันผลรับ กรณีผู้ถือหุ้นเป็นนิติบุคคลไทย กับกรณีเป็นบุคคลธรรมดา เมื่อบริษัทที่นักลงทุนไทยไปลงทุนในต่างประเทศมีกำไรและจ่ายคืนผู้ถือหุ้นในรูปเงินปันผล
บางประเทศกำหนดให้บริษัทผู้จ่ายเงินปันผลต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย โดยปัจจุบันชาติสมาชิกอาเซียนที่กำหนดให้หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย เมื่อจ่ายเงินปันผลนอกจากไทยก็มี สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ กัมพูชา อินโดนีเซีย โดยไทยมีอัตราต่ำสุดที่ร้อยละ 10 และอินโดนีเซียสูงสุดร้อยละ 20 ภายใต้อนุสัญญาการเว้นการเก็บภาษีซ้อนที่อินโดนีเซียทำกับไทย อัตราภาษีของอินโดนีเซียจะลดเหลือร้อยละ 15 ประเทศที่เหลือ 5 ประเทศสมาชิกไม่มีการหักภาษีกรณีจ่ายเงินปันผล
แต่อย่างไรเรื่องนี้อาจทำให้ไทยเสียเปรียบประเทศสมาชิกอย่างมาเลเซีย สิงคโปร์ อยู่บ้าง ด้วยต้นทุนภาษีที่เพิ่มขึ้นของผู้ถือหุ้น โดยเฉพาะประเทศซึ่งยกเว้นภาษีเงินได้จากเงินปันผลที่รับจากต่างประเทศ ในบางประเทศเงินปันผลจะไม่เสียภาษีภายในประเทศ หากเป็นเงินปันผลที่ได้จากการลงทุนในต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย
กล่าวคือ หากบริษัทสิงคโปร์ลงทุนในไทยมีรายได้เป็นเงินปันผลจากไทย จะถือเป็นเงินได้จากแหล่งนอกประเทศที่ไม่เสียภาษีเงินได้ในสิงคโปร์ แต่เนื่องจากไทยหักภาษีเงินปันผลในอัตราร้อยละ 10 ก็ทำให้อัตราภาษีดังกล่าวกลายเป็นต้นทุนของผู้ถือหุ้น
กลับมาที่กรณีนิติบุคคลไทยไปลงทุนในต่างประเทศ ตามประมวลรัษฎากรไทย เงินปันผลซึ่งนิติบุคคลไทยได้รับจากบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศจะได้รับยกเว้นภาษีไทยหาก (1) บริษัทถือหุ้นในบริษัทผู้จ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของหุ้นทั้งหมดที่มีสิทธิออกเสียงในบริษัทนั้นเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน นับแต่วันที่ได้หุ้นนั้นมาจนถึงวันที่ได้รับเงินปันผล
และ (2) เงินปันผลต้องมาจากกำไรสุทธิที่มีการเสียภาษีในประเทศของบริษัทผู้จ่ายเงินปันผล โดยอัตราภาษีดังกล่าวต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15 ของกำไรสุทธิ ทั้งนี้ ไม่ว่าประเทศของบริษัทผู้จ่ายเงินปันผลจะมีกฎหมายลดหรือยกเว้นภาษีสำหรับกำไรสุทธิให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นหรือไม่ก็ตาม
ตัวอย่างเช่น ผู้ถือหุ้นที่เป็นนิติบุคคลไทยได้รับเงินปันผลจากบริษัทสิงคโปร์ที่มีรายได้จากการประกอบกิจการและเสียภาษีในสิงคโปร์ซึ่งมีอัตราภาษีเงินได้ร้อยละ 17 เงินปันผลที่ผู้ถือหุ้นไทยได้รับจากสิงคโปร์ก็จะได้รับยกเว้นภาษีในประเทศไทย หากผู้ถือหุ้นที่เป็นบริษัทไทยถือหุ้นมาไม่น้อยกว่า 6 เดือนก่อนได้รับเงินปันผล
อย่างไรก็ดี ข้อยกเว้นนี้ไม่ใช้สำหรับกรณีเป็นการถือหุ้นทางอ้อม เช่น จากตัวอย่างเดิม หากบริษัทสิงคโปร์ไม่ใช่บริษัทที่ประกอบกิจการ แต่เป็นโฮลดิ้ง คอมพานี เมื่อสิงคโปร์ได้เงินปันผลจากต่างประเทศจึงไม่เสียภาษีในประเทศสิงคโปร์ และเมื่อส่งเงินปันผลนั้นให้ผู้ถือหุ้นไทยในรูปการจ่ายเงินปันผลจากบริษัทสิงคโปร์ ซึ่งสิงคโปร์ไม่มีภาษีหัก ณ ที่จ่ายกรณีจ่ายเงินปันผล ผู้ถือหุ้นไทยควรจะได้รับเต็ม แต่ผู้ถือหุ้นที่เป็นนิติบุคคลไทยจะต้องนำมารวมเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีไทยในอัตราร้อยละ 20 ของกำไรสุทธิ เพราะไม่เข้าเงื่อนไขการยกเว้น
เพราะฉะนั้น หากจะใช้การลงทุนผ่านโฮลดิ้ง คอมพานี ในต่างประเทศ ควรต้องพิจารณาถึงประเทศที่เป็นที่ตั้งของโฮลดิ้ง คอมพานี ซึ่งจะมีผลไปถึงภาระภาษีของภาษีเงินปันผลที่จะได้รับในอนาคตด้วย
กรณีผู้ถือหุ้นเป็นบุคคลธรรมดาก็ต้องนำมารวมเสียภาษีไทยในอัตราปกติของบุคคลธรรมดา เว้นเสียแต่ว่าผู้ถือหุ้นบุคคลธรรมดาจะไม่นำเงินปันผลนั้นกลับเข้ามาประเทศไทยในปีที่มีรายได้ ก็จะไม่เสียภาษีไทย เนื่องจากถือเป็นเงินได้จากแหล่งเงินได้นอกประเทศ ซึ่งผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยจะเสียภาษีไทยก็ต่อเมื่อนำเงินได้จากแหล่งนอกประเทศไทยดังกล่าวเข้ามาในประเทศไทย


