ไขเคล็ดลับโกยเงิน ร้านอาหารไทยในเวียดนาม
ร้านอาหารไทยเป็นหนึ่งธุรกิจที่น่าลงทุนมาก ความต้องการและโอกาสขยายธุรกิจมีสูง
โดย...เจริญ ผู้สัมฤทธิ์เลิศ [email protected]
เมื่อปลายเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา รัฐสภาเวียดนามได้ให้สัตยาบันร่างกฎหมายใหม่ โดยอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติถือหุ้นในบางธุรกิจได้ 100% ซึ่งหนึ่งในนั้นคือธุรกิจร้านอาหาร
ผมเห็นร่างกฎหมายฉบับนี้แล้ว นึกถึงโอกาสของนักลงทุนไทยขึ้นมาทันที กฎหมายนี้สำคัญมาก สมัยก่อนการเข้าไปทำธุรกิจในเวียดนาม ขึ้นชื่อว่าเป็นตลาดปราบเซียนมานักต่อนักแล้ว เราเสียเปรียบมากเพราะต้องหาหุ้นส่วนชาวเวียดนามมาใส่ชื่อเป็นเจ้าของร่วม หากเจอหุ้นส่วนดีถือว่าถูกรางวัลใหญ่ เพราะส่วนใหญ่เจอแต่ปัญหามากมาย สุดท้ายม้วนเสื่อกลับเมืองไทยกันหลายราย เมื่อกฎหมายใหม่ประกาศใช้ ความท้าทายนี้ก็จะลดลงและจัดการกับปัญหาต่างๆ ได้มากทีเดียว
ผมพูดถึงธุรกิจร้านอาหาร เพราะตอนนี้คนเวียดนามนิยมอาหารไทยมาก โดยได้อานิสงส์จากที่นิยมใช้สินค้าไทย และขยายต่อมาที่อาหารการกิน ประกอบกับวิถีชีวิตคนเวียดนามเปลี่ยนแปลงไปมากพอสมควร กลุ่มคนรุ่นใหม่ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 60% ของประชากร ทันสมัยมากขึ้น พร้อมเปิดรับสินค้าใหม่ๆ เห็นได้จากร้านฟาสต์ฟู้ด ทั้งเบอร์เกอร์คิง เคเอฟซี แมคโดนัลด์ คนแน่นร้านตลอด บวกกับคนมีรายได้สูงขึ้น จึงเริ่มใช้จ่ายไปกับสินค้าฟุ่มเฟือยมากขึ้น
เราจะเห็นคนเวียดนามนัดคุยธุรกิจ นัดสังสรรค์ตามร้านอาหารเพิ่มมากขึ้น เวียดนามมีสถิติการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคสูง โดยภาครัฐของเวียดนามคาดว่าอัตราการบริโภคในปี 2558 จะสูงขึ้นประมาณ 17% เมื่อเทียบกับปีก่อน ดังนั้นประตูโอกาสสำหรับธุรกิจอาหารไทยในเวียดนามจึงเปิดกว้างมากขึ้น
ผมขอแนะนำนักลงทุนไทยที่อยากเปิดร้านอาหารไทยในเวียดนาม ว่า ควรเริ่มต้นโดยใช้กลยุทธ์ “รู้เขา-รู้เรา” ซึ่งใช้ได้ดีเสมอในโลกธุรกิจ โดยขอยกตัวอย่างร้าน สามย่าน ซีฟู๊ด สาขาโฮจิมินห์ ซิตี้ เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น
ร้านนี้เป็นการร่วมทุนกันระหว่าง คุณสุรเดช ตั้งสินพูลชัย เจ้าของร้านสามย่าน ซีฟู๊ดที่ไทย กับ คุณพิชัย เฉลิมพลากร เจ้าของธุรกิจส่งออกปูทะเลสู่ตลาดไทย ร้านนี้เปิดมาประมาณ 6 ปี และมีแผนจะขยายสาขาเพิ่มอีกเร็วๆ นี้
คุณพิชัย เล่าให้ผมฟังว่า ตอนเริ่มต้นเขามีเพื่อนชาวเวียดนามช่วยดูแลเรื่องกฎหมายให้ ซึ่งช่วยได้มาก เนื่องจากกฎระเบียบการค้าเวียดนามเปลี่ยนแปลงบ่อย และบางครั้งการตีความก็ต่างกัน การมีที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญช่วยให้การตั้งร้านเป็นไปได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว
ต่อมาคือการเลือกเมือง คุณพิชัยเลือกเมืองโฮจิมินห์ เพราะเป็นเมืองธุรกิจ คนมีกำลังซื้อ มีรายได้สูงกว่าคนเมืองอื่นๆ ถึง 2 เท่า และที่สำคัญคือพร้อมที่จะใช้เงินจับจ่ายใช้สอย แต่ไม่ใช่ว่าอยากตั้งร้านตรงไหนก็ตั้งได้ ต้องศึกษาวัฒนธรรมท้องถิ่นด้วย เช่น สามย่านเปิดครั้งแรกติดกับสถานีตำรวจ ทำอย่างไรคนก็ไม่เข้าร้าน ตอนหลังจึงมีคนเวียดนามมาบอกว่า เปิดตรงนี้อาหารอร่อยแค่ไหนคนก็ไม่เข้า เพราะคนเวียดนามกลัวตำรวจ คุณพิชัยจึงต้องย้ายมาเปิดตรงทำเลปัจจุบัน
ค่าเช่าเป็นปัจจัยต่อมาที่ต้องพิจารณา เพราะค่าเช่าในเวียดนามแพงมาก เป็นตัวตัดสินว่าร้านจะอยู่รอดหรือไม่รอดเลยทีเดียว ในปี 2559 ค่าเช่ารายเดือนในโฮจิมินห์จะอยู่ที่ 17-44 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 578-1,496 บาท) ต่อตารางเมตร
ร้านสามย่านมีลูกค้าเข้าร้านตลอด แบ่งเป็นนักธุรกิจต่างชาติ40% เวียดนาม 30% และคนไทยประมาณ 30% ทำรายได้ต่อเดือนอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านบาท ประสบการณ์ทำร้านอาหารกว่า 30 ปีของคุณสุรเดช ช่วยให้ได้เปรียบในเรื่องการบริหารจัดการ และอีกส่วนคือคู่แข่งยังน้อยราย ร้านที่มีเจ้าของเป็นคนไทยมีประมาณ 10 ร้าน น้อยมากเมื่อเทียบกับความต้องการร้านที่เจ้าของเป็นคนไทย และอยู่ดูแลร้านตลอดจะได้รับความนิยมและความเชื่อถือจากคนเวียดนามมาก เพราะเขามั่นใจว่าได้กินอาหารไทยแท้
เรื่องพ่อครัวลาออกก็เป็นปัญหาใหญ่ของร้านทั่วไป แต่ไม่ใช่ที่สามย่าน วิธีแก้ปัญหาของคุณพิชัย คือ เรียนรู้วิธีทำอาหารและคุมรสชาติเองทั้งหมด หากพ่อครัวลาออก ก็สามารถเทรนคนใหม่มาเป็นพ่อครัวแทนได้ทันที
ส่วนรสชาติอาหาร คุณพิชัยปรับให้เข้ากับคนเวียดนาม โดยใช้วิธีพูดคุยกับลูกค้าด้วยตัวเอง เป็นการศึกษาคนเวียดนามไปในตัว ทำให้รู้ว่าคนเวียดนามเหนือกินอาหารรสจืด เพราะได้รับวัฒนธรรมจากจีน ส่วนตอนกลางจะกินรสเผ็ด และคนใต้จะกินรสจัด ดังนั้น รสชาติของร้านสามย่านจะออกรสจัด มีทั้งเปรี้ยว เค็ม หวาน แต่ต้องลดเผ็ดลง เพราะคนเวียดนามยังกินเผ็ดไม่เท่าคนไทย เมนูเด็ดที่ทุกโต๊ะจะต้องสั่ง คือ ปูผัดผงกะหรี่ ข้าวผัดปู และต้มยำ
ร้านอาหารไทยเป็นหนึ่งธุรกิจที่น่าลงทุนมาก ความต้องการและโอกาสขยายธุรกิจมีสูง หากเน้นกลุ่มลูกค้าระดับกลางและล่างจะได้จำนวนลูกค้าจำนวนมาก ทำให้ได้ส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้น หรืออาจติดต่อให้กรุ๊ปทัวร์มาลง ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะเพิ่มยอดขายให้กับร้านได้เช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นที่ควรคำนึงถึง คือ เรื่องภาษี การจ้างพนักงานชาวเวียดนาม และการบริหารจัดการก็ต้องปรับรูปแบบให้เข้ากับคนแต่ละท้องถิ่น เพราะคนเวียดนามมีพื้นฐานให้บริการต่างจากคนไทย ดังนั้นผู้ประกอบการไทยควรใช้เวลานี้เตรียมความพร้อมให้รอบด้าน เพื่อให้สามารถเดินหน้าได้ทันทีที่ร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่านการอนุมัติและมีผลบังคับใช้


