posttoday

สหรัฐ- คิวบาสานสัมพันธ์ครั้งแรกในรอบ 50 ปี

18 ธันวาคม 2557

โอบามา-คาสโตรเดินหน้าฟื้นสัมพันธ์ทางการทูต แลกตัวนักโทษ โป๊ปช่วยเป็นตัวกลาง

โอบามา-คาสโตรเดินหน้าฟื้นสัมพันธ์ทางการทูต แลกตัวนักโทษ โป๊ปช่วยเป็นตัวกลาง

ทั้งกรุงวอชิงตัน และกรุงฮาวานาของคิวบาต่างแถลงการณ์ระบุถึงแผนฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูต ซึ่งถือเป็นการปรับเปลี่ยนท่าทีครั้งประวัติศาสตร์ โดยสหรัฐจะตั้งสถานทูตในกรุงฮาวานา เมืองหลวงของคิวบา รวมถึงลดข้อจำกัดทางการค้า การเดินทางระหว่างทั้ง 2 ประเทศ

“ในการปรับเปลี่ยนนโยบายครั้งใหญ่ที่สุดในรอบมากกว่า 50 ปี เราจะยุติท่าทีล้าสมัย ซึ่งไม่สร้างผลประโยชน์ให้แก่เรามาเป็นเวลาหลายศตวรรษ ไม่ว่าจะเป็นชาวสหรัฐ หรือชาวคิวบาต่างอยู่ภายใต้นโยบายที่เข้มงวด ซึ่งเป็นผลมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนเราส่วนใหญ่จะเกิดเสียอีก” ประธานาธิบดีบารัก โอบามาแห่งสหรัฐกล่าว 

การประกาศครั้งนี้จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับชาวสหรัฐที่ต้องการจะไปท่องเที่ยว หรือทำธุรกิจในคิวบา ในขณะเดียวการก็จะ ชีวิตของชาวคิวบาก็จะต้องเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเช่นกัน 

เว็บไซต์บิสสิเนสวีค ของสำนักข่าวบลูมเบิร์กได้ระบุถึงข้อเท็จจริงสำคัญที่ควรรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ที่ทั่วโลกกำลังจับตามองนี้

สหรัฐ- คิวบาสานสัมพันธ์ครั้งแรกในรอบ 50 ปี

 

ทำไมถึงต้องเกิดขึ้นวันนี้?
โอบามาเคยกล่าวก่อนรับตำแหน่งในปี 2008 แล้วว่าต้องการทลายกำแพงความสัมพันธ์ที่เยือกเย็นกับคิวบา ทว่า ยังต้องเผชิญกับอุปสรรคหลายอย่างทำให้ไม่สามารถเป็นจริงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่พลเมือง และสายลับของสหรัญที่ถูกจับในคิวบา ซึ่งในวันนี้  คิวบาได้ตัดสินใจปล่อยตัวอลัน กรอส เจ้าหน้าที่ด้านการบรรเทาทุกข์ชาวอเมริกันวัย 65 ปี ที่ถูกคุมขังนาน 5 ปี รวมถึงเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองสหรัฐที่อยู่ในคุกคิวบาถึง 20 ปี ในขณะที่สหรัฐก็ปล่อยตัวนักโทษคิวบา 3 คน จากทั้งหมด 5 คนเช่นเดียวกัน
 
พระสันตะปาปาเกี่ยวข้ออย่างไร?
โป๊ปฟรานซิส ประมุของค์ปัจจุบันของคริสตจักรคาทอลิกได้เขียนจดหมายถึงโอบามา และราอูล คาสโตร ผู้นำคิวบา เรียกร้องให้ทั้ง 2 ประเทศปล่อยตัวอลัน กรอส และนักโทษชาวคิวบาที่ถูกจับข้อหาเป็นสายลับ พร้อมกับยื่นข้อเสนอให้กรุงวาติกันเป็นสถานที่ประชุมครั้งสุดท้ายระหว่างตัวแทนของทั้ง 2 ประเทศซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจามาเป็นเวลาหลายปี

ใครเห็นด้วย และใครไม่เห็นด้วยกับการฟื้นสัมพันธ์บ้าง
บิสสิเนสวีควิเคราะห์จากผลสำรวจในปี 2009 พบว่าชาวสหรัฐส่วนใหญ่เห็นด้วยกับผู้นำประเทศ 2 ใน 3   ระบุว่าต้องการความสัมพันธ์ทางการทูตที่ปกติกับคิวมา ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจากช่วง 10 ปีก่อนหน้าถึง 38 % เลยทีเดียว ในขณะที่สภาคองเกรสหลายคนอาจไม่ค่อยชอบใจนัก

“ความสัมพันธ์กับราชวงศ์คาสโตรไม่ควรจะเริ่มพลิกฟื้น อย่าว่าแต่ให้กลับมาเป็นปกติเลย จนกว่าชาวคิวบาจะได้รับเสรีภาพอย่างแท้จริง” จอห์น โบเนอร์ สส. จากรัฐโอไฮโอแสดงทัศนะ สอดคล้องจากตัวแทนของรัฐนิวเจอร์ซี และรัฐฟลอริดา ที่มองว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวไม่เหมาะสม เสมือเป็นการยอมรับพฤติกรรมที่โหดร้ายของรัฐบาลคิวบา
 
 
ทั้งนี้ คิวบาถือเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคละตินอเมริกาที่ยังใช้การปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์ ซึ่งตรงกันข้ามกับสหรัฐ ซึ่งถือตัวเองว่าเป็นผู้นำแห่งประชาธิปไตย  ความตึงเครียดระหว่างทั้ง 2 ประเทศเริ่มเกิดขึ้นในช่วง 1960-1970 หลังจากที่ฟิเดล คาสโตร ก้าวขึ้นมามีอำนาจ และเกิดเหตุการณ์อ่าวหมู ในปี 1961  ที่ชาวสหรัฐจำนวนมากถูกจับกุมในเกาะหนึ่งของคิวบา หลังจากมาลักลอบฝึกทหาร   และ วิกฤติขีปนาวุธในปี 1962 ที่คิวบาเล็งนิวเคลียร์ไปที่สหรัฐ ทว่า เหตุการณ์ก็ยุติลงด้วยการเจรจาของผู้นำทั้ง 2 ฝ่าย


ที่มา http://www.businessweek.com/articles/2014-12-17/heres-what-happened-in-cuba-today-and-why-you-should-care#r=most popular

ข่าวล่าสุด

วปอ.68 มอบตาข่ายป้องกันโดรน ทิ้งระเบิด และสิ่งของ ช่วยทหารชายแดนภาค 2