ผลวิจัยมะกันชี้กินบะหมี่สำเร็จรูปมากโรครุม
ผลศึกษาจากนักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐชี้กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 2-3 มื้อต่อสัปดาห์ เสี่ยงโรคหัวใจ-หลอดเลือดในสมอง
ผลศึกษาจากนักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐชี้กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 2-3 มื้อต่อสัปดาห์ เสี่ยงโรคหัวใจ-หลอดเลือดในสมอง
แม้จะทราบกันดีว่า บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่นิยมรับประทานกันอย่างแพร่หลาย มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายน้อยมาก แต่ในยุคปัจจุบันที่คนเรามีภาระเยอะและใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ อาหารกึ่งพร้อมทานจึงเป็นที่นิยมตามสภาพการใช้ชีวิตอย่างปฏิเสธไม่ได้
แต่นับจากนี้ ผู้คนอาจต้องหันมาตระหนักถึงการบริโภคอาหารที่แสนสะดวกมากขึ้น เพราะผลการศึกษาล่าสุด โดยนักวิทยาศาสตร์จากโรงพยาบาลด้านหัวใจและหลอดเลือดเบย์เลอร์ ในรัฐเทกซัส ของสหรัฐ บ่งชี้ว่า ผู้ที่รับประทานอาหารกึ่งสำเร็จรูปจำพวกบะหมี่รวมถึงราเมนปรุงสำเร็จแบบญี่ปุ่น ประมาณ 2-3 มื้อต่อสัปดาห์ เสี่ยงต่อการทำให้ระบบเผาผลาญในร่างกายและการทำงานของหัวใจผิดปกติ ซึ่งเป็นอาการที่ส่งผลให้เกิดโรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง และเบาหวานได้
ฮยอนจุนชิน ผู้นำศึกษางานชิ้นนี้ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารด้านโภชนาการของสหรัฐ เผยถึงสาเหตุที่เลือกศึกษาความเกี่ยวข้องระหว่างการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกับปัญหาสุขภาพว่า เนื่องจากตัวเขาเองเป็นชาวเกาหลี ซึ่งมีอัตราการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสูงที่สุดของโลก อีกทั้งเมื่อตรวจสอบพฤติกรรมการกินทำนองนี้ยังพบด้วยว่า ชาวเอเชียส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้บริโภครายใหญ่ของอาหารประเภทนี้เหมือนกัน
โดยการศึกษาที่เลือกวิเคราะห์กลุ่มผู้บริโภคชาวเกาหลีใต้เป็นหลักพบว่า ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประชาชนประสบปัญหาด้านสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะโรคหัวใจและโรคอ้วนในผู้ใหญ่ ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นเพราะอาหารกึ่งสำเร็จรูปที่นิยมรับประทานกันมีส่วนประกอบของเกลือสูง และยังมีสารอาหารบางอย่างที่สูงเกินความจำเป็นของร่างกาย
ก่อนหน้านี้ มีงานวิจัยอีกชิ้นที่เตือนถึงอันตรายจากการกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โดยเป็นงานวิจัยจากผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหาร ประจำโรงพยาบาลทั่วไปแมสซาชูเซตส์ในสหรัฐ ซึ่งได้ให้ผู้ทดลองรับประทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขณะที่อีกคนหนึ่งรับประทานบะหมี่แบบทำเอง พบว่าระบบย่อยอาหารของผู้ที่รับประทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทำงานหนักและใช้เวลานานกว่าเพื่อย่อยอาหาร มิหนำซ้ำ ตัวบะหมี่ยังมีสารที่ปรุงแต่งรสที่เพิ่มพิษภัยในอาหารด้วย
ทั้งนี้ กลุ่มผู้บริโภคที่เป็นหญิง มีความเสี่ยงต่อการป่วยด้วยโรคร้ายแรงมากกว่าฝ่ายชาย ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ของโรงพยาบาลเบย์เลอร์คาดว่า อาจเป็นเพราะผลกระทบบางอย่างที่ทำปฏิกิริยากับฮอร์โมนเพศ และการเผาผลาญพลังงานในร่างกายของหญิงและชาย อีกทั้งสารเคลือบบรรจุภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปที่ปะปนมากับอาหารเมื่อโดนความร้อน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทางกลุ่มผู้วิจัยก็หวังว่าการศึกษาจะกระตุ้นให้ทุกเพศทุกวัยใส่ใจกับพฤติกรรมการบริโภคมากกว่าเดิม และในส่วนของการวิจัยในครั้งนี้ จะทำการต่อยอดเพื่อศึกษาผลลัพธ์ในเชิงลึกต่อไป


