อร่อยร้อยลิ้น ปี 2 ตอนที่ 12
สัปดาห์นี้เรายังคงอยู่กันที่ฟูกุโอกะครับ เพราะอันที่จริงแล้วเมืองฟูกุโอกะนี่มีความสำคัญ
สัปดาห์นี้เรายังคงอยู่กันที่ฟูกุโอกะครับ เพราะอันที่จริงแล้วเมืองฟูกุโอกะนี่มีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งของภูมิภาคคิวชู และสำคัญเป็นลำดับต้นๆ ของประเทศญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ ไม่ต้องดูที่ไหนไกล สายการบินไทยของเราบินไปลงที่ฟูกุโอกะมานานหลายสิบปีแล้ว และถ้าปริมาณผู้เดินทางไม่มากพอป่านนี้การบินไทยยกเลิกไปเหมือนเมืองเซนไดแล้วครับ อีกตัวหนึ่งที่ผมวัดเอาเองคือการแข่งขันซูโม่ซึ่งเป็นกีฬาประจำชาติของญี่ปุ่นนั้นเขาจะจัดแข่งปีละ 6 ครั้งในเดือนคี่โดยเริ่มต้นที่โตเกียวในเดือน ม.ค. พ.ค.และ ก.ย. ส่วนอีก 3 ครั้งที่เหลือก็จะจัดแข่งในอีก 3 เมือง คือ โอซาก้าในเดือน มี.ค. นาโกย่าเดือน ก.ค. และฟูกุโอกะเดือน พ.ย. ถ้าไม่สำคัญจะมาจัดแข่งที่ฟูกุโอกะนี่ทำไมใช่ไหมครับ นอกจากจะเป็นเมืองใหญ่สุดในภาคใต้ของญี่ปุ่นแล้วฟูกุโอกะก็ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่น่าสนใจ อาทิ ต้นกำเนิดของTonkotsu Ramen ก็เกิดขึ้นครั้งแรกโดยร้าน Nankin Senryo ที่เมือง Kurume ในจังหวัดฟูกุโอกะ หรือ Mentaiko ไข่ปลาคอดปรุงรสที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากเกาหลีจนกลายอาหารและกับแกล้มขึ้นชื่ออันดับต้นๆ ของญี่ปุ่นไปแล้ว ก็มีต้นกำเนิดที่ Hakata ในเมืองฟูกุโอกะเช่นกัน อีกอย่างหนึ่งซึ่งต้องไม่พลาดเวลาไปฟูกุโอกะ ก็คือการไปทานอาหารหรือนั่งดื่มตามแผงลอย (Yatai) ในฟูกุโอกะนั้นมีแผงลอยประมาณ 400 แผงกระจัดกระจายอยู่ตามย่านธุรกิจการค้าและย่านบันเทิง ถึงขนาดว่ามีการจัดอันดับราเม็งแผงลอยกันด้วยว่าแผงไหนอร่อยสุดในแต่ละปี ส่วนอาหารอื่นๆ จำพวกของปิ้งของย่างก็มีให้เลือกทาน แต่ความอร่อยต้องไปลุ้นกันเอาเองครับ จริงๆ ยังมีอาหารอีกอย่างหนึ่งที่ขึ้นชื่อคือ Motsunabe หม้อไฟเครื่องในวัวหรือหมู รสชาติจัดจ้านด้วยน้ำซุปที่ปรุงรสด้วยพริกป่น แต่พอดีว่าผมไม่ทานเครื่องในเลยไม่ค่อยมีโอกาสสั่งหม้อไฟชนิดนี้มาทานในโอกาสปกติเท่าไหร่ แต่ที่ผมไม่เคยพลาดเลยก็คืออาหารจานเนื้อ เมืองไหนจังหวัดไหนมีเนื้อดังเนื้อดีไม่มีพลาด แต่ที่ฟูกุโอกะนี่ไม่เด่นเรื่องเนื้อ บังเอิญว่าเพื่อนบ้านติดกันอย่างจังหวัด Saga เขามีเนื้อขึ้นชื่อและสามารถหาทานได้ง่ายในฟูกุโอกะ ผมก็เลยต้องไปพิสูจน์รสชาติกันหน่อยว่าจะสู้เนื้อมิยาซากิได้หรือเปล่า
ถ้าไม่นับสามสุดยอดเนื้อของญี่ปุ่นอันประกอบด้วยโกเบมัตสึซากะและโอมิซึ่งล้วนแล้วแต่มาจากตอนกลางๆ ของประเทศทั้งสิ้น สำหรับเกาะคิวชูก็มีสามสุดยอดแดนใต้ คือเนื้อมิยาซากิที่พอจะเบียดชั้นต่อสู้กับสามสุดยอดเนื้อญี่ปุ่นได้อย่างไม่อายเลย วัวมิยาซากิก็เคยได้แชมป์วัวญี่ปุ่นมาครองอยู่หลายสมัย ส่วนที่คุมาโมโตะก็มีเนื้อวัวแดง (Akaushi) ที่ตอนนี้กำลังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง ร้านเนื้อดีๆ ในโตเกียวเริ่มแนะนำเนื้ออะคะอุชิกันบ้างแล้ว แต่ยังหาทานได้ยากอยู่เพราะพื้นที่การเลี้ยงจำกัดอยู่แถวๆ ภูเขาไฟอะโสะ เลยมีปริมาณเนื้อออกสู่ตลาดนอกพื้นที่ไม่มากนัก ลำดับสุดท้ายคือเนื้อซางะ (Saga Gyu) จริงๆ แล้วก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าเนื้อมิยาซากิ เพียงแต่ว่าไม่เป็นที่คุ้นเคยของคนไทยเท่าไหร่ก็เลยไม่ค่อยมีคนรู้จัก ที่ผมกล้าบอกว่าเนื้อซางะนั้นดีมีคุณภาพเพราะระบบการวัดคุณภาพเนื้อและไขมันนั้นเป็นมาตรฐานเดียวกันกับโกเบหรือมัตสึซากะ เนื้อซางะนั้นจัดชั้นให้อยู่ในระดับ A4 ปลายๆ ไปจนถึง A5 โดยมีค่า BMS อยู่ที่ระดับ 7 ขึ้นไป ถ้าคุณภาพต่ำกว่านี้จะเรียกว่า เนื้อวัวจากจังหวัดซางะ (Wagyu produced in Saga) ซึ่งเหมือนกับการแบ่งเกรดเนื้อวัวโกเบออกจากเนื้อวัวทาจิมะยังไงยังงั้นเลย ร้านเนื้อที่ผมเลือกทานเป็นร้านดังที่มีบริการทั้งชาบู เนื้อย่างและเทปปัง ร้านนี้ชื่อสั้นๆ ว่า Kira
ร้าน Kira เป็นอาคาร 3 ชั้นขนาดย่อมๆ อยู่ริมแม่น้ำนาคะฝั่งตรงกันข้ามกับโรงแรม Hakata Excel Tokyu จากร้านมองเห็นสำนักงานใหญ่ของ Ichiran Ramen ได้ชัดเจน ไม่น่าจะหายาก ชั้น 2 จะบริการเนื้อย่าง ชั้น 3 บริการชาบูและเทปปัง อย่างที่เคยบอกไปหลายหนแล้วว่าถ้าอยากได้รสชาติของทานเนื้อดีๆ ต้องเลือกวิธีการปรุง และวิธีการปรุงเนื้อดีให้อร่อยต้องได้มืออาชีพมาทำ ไม่งั้นเกิดปรุงเองแล้วสุกไปบ้างไหม้บ้างเสียของเปล่าๆ ดังนั้น ผมจึงเลือกทานเทปปังยากิเสมอเพราะเนื้อเกรด A4 หรือ A5 นั้นมันดีเกินกว่าจะย่างทานเองครับ เคาน์เตอร์เทปปังของร้าน Kira รับลูกค้าได้แค่ 10 ท่านจึงควรจองก่อนไปจะได้ไม่ผิดหวัง ผมเลือกคอร์ส Saga Gyu เกรด A5 มาลองทาน เริ่มต้นด้วยสลัดผัดสด น้ำสลัดรสเปรี้ยวช่วยกระตุ้นความอยากอาหารขึ้นมาทันที ตามติดมาเป็นออร์เดิร์ฟซึ่งจะทำจากกุ้งและเนื้อรสชาติดี จากนั้นก็มาถึงเมนคอร์สสามารถเลือกได้ว่าจะรับเป็น Sirloin หรือ Fillet ทางร้านคงเห็นว่าผมคิดอยู่นานเลยยื่นข้อเสนอที่มิอาจปฏิเสธคือจะเลือกทานอย่างละครึ่งก็ได้ แบบนี้ก็ลงตัวครับได้ลองทั้งสองอย่างเลย เครื่องจิ้มของร้านนี้มี 3 ชนิด คือ ซอสเปรี้ยว Ponsu เกลือป่นจากอิตาลี และสเต๊กซอสรสเข้มซึ่งทางร้านบอกว่าเผ็ดนิดๆ แต่สำหรับคนไทยไม่เผ็ดเลย สักครู่เนื้อทั้งสองชิ้นก็ถูกส่งมาที่หน้าเตา พ่อครัวโชว์ให้เราดูก่อนเพราะเป็นธรรมเนียมของร้านแบบนี้ที่จะต้องให้ลูกค้าเห็นชิ้นเนื้อก่อนปรุง เพราะเนื้อทุกชิ้นต้องมีที่มาที่ไป หน้าร้านจะมีรหัสของ Certificate แสดงไว้เสมอ ร้านไหนไม่มีมั่นใจได้เลยว่าเนื้อปลอมครับ พ่อครัวใช้ไฟอ่อนค่อยๆ ย่างเนื้ออย่างพิถีพิถัน ทำให้เนื้อได้ความร้อนเสมอกันทั้งชิ้น เรื่องแบบนี้ใจร้อนไม่ได้เดี๋ยวจะเสียอรรถรส เพราะถ้าไฟแรงเกินไปด้านนอกจะสุกแต่ด้านในยังดิบเหมือนร้านเทปปังทัวร์ลงบางร้านย่านโกเบ Fillet ถูกเสิร์ฟมาก่อน ผมไม่รอช้าคีบชิ้นแรกเข้าปากโดยไม่ต้องจิ้มอะไร วลีที่ว่าละลายในปากนั้นใช้กับเนื้อชิ้นนี้ได้จริงๆ จากนั้น Sirloin ก็ตามมา ชิ้นแรกผมจะทานโดยไม่จิ้มเสมอถึงจะไม่นุ่มเท่า Fillet แต่ความอร่อยไม่แพ้กันครับ ชิ้นต่อๆ มาผมก็ลองจิ้มเครื่องชูรสทั้ง 3 อย่างดู สรุปได้ว่าเกลือดีที่สุด แต่พอดีว่าในจานเขามี YuzuKosho วางมาให้ด้วยเลยลองจิ้มดู ปรากฏว่าอร่อยไปอีกแบบ ใครที่ชอบความจัดจ้านต้องลองทานกับ YuzuKosho
ปิดท้ายด้วยข้าวเปล่า ผักดองและซุป แต่สามารถจ่ายเพิ่ม 500 เยนเปลี่ยนเป็นข้าวผัดกระเทียมได้ พ่อครัวผัดข้าวได้หอมอร่อยรสชาติกำลังดี และจบด้วยของหวานที่หน้าตาดูเหมือนขนมชั้นแต่จริงแล้วคือ Rare Cheesecake ที่อร่อยกว่าหน้าตาแถมมีลูกสตรอเบอร์รีมาตัดเลี่ยนให้อีกลูกหนึ่ง เสิร์ฟพร้อมกาแฟแก้วเล็กแต่เข้มข้นถึงใจ อิ่มแปล้พุงแทบแตก หมดไปแค่ 7,700 เยนเท่านั้นเอง คุ้มมากๆ เพราะคุณภาพและรสชาติไม่แพ้โกเบหรือมัตสึซากะเลย บรรดาเหล่าสาวก Beef Lover ถ้ามีโอกาสมาฟูกุโอกะห้ามพลาดร้าน Kira เป็นอันขาดครับ


