แซมบ้า...ขอฉลองแชมป์โลกในบ้าน
เหลือเวลาไม่ถึงเดือน ฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิลเป็นเจ้าภาพ ระหว่าง 12 มิ.ย.-13 ก.ค.
เหลือเวลาไม่ถึงเดือน ฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิลเป็นเจ้าภาพ ระหว่าง 12 มิ.ย.-13 ก.ค. จะเริ่มขึ้น บรรดา 32 ทีม ต่างฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อหวังที่จะชูถ้วยฟุตบอลโลก ซึ่งหลังจากนี้ ฉบับวันอาทิตย์และวันจันทร์ เราจะพาไปดูความพร้อมของแต่ละกลุ่ม โดยเริ่มกันที่กลุ่มเอ “เจ้าภาพ” บราซิล กับการกลับมาทวงบัลลังก์แชมป์สมัยที่ 6, โครเอเชีย ทีมที่พร้อมจะเป็นม้ามืด, เม็กซิโก ที่หวังจะไปให้ไกลที่สุด และแคเมอรูน ทีมที่คู่ต่อสู้ห้ามประมาท!!!
บราซิล (อันดับ 4 โลก)
“แซมบ้า” ฉายาว่า “เซเลเซา” เป็นทีมเดียวที่เล่นในฟุตบอลโลกทุกยุคทุกสมัย มีสถิติชนะมากที่สุด และครองแชมป์โลกมาแล้วถึง 5 ครั้ง ปี 1958, 1962, 1970, 1994 และ 2002 หลังจากคว้าแชมป์โลกที่ญี่ปุ่น ปี 2002 “แซมบ้า” เริ่มมีผลงานตกต่ำ ตกรอบก่อนรองชนะเลิศฟุตบอลโลก 2006 แพ้ฝรั่งเศส 0-1 ทำให้ดึงตัว คาร์ลอส ดุงกา กัปตันทีมชุดแชมป์โลก 1994 เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมตั้งแต่ปี 2006 และพาทีมคว้าแชมป์โคปา อเมริกา ปี 2007 ตามด้วยแชมป์ ฟีฟ่า คอนเฟเดอเรชั่นส์ คัพ ปี 2009 และผ่านรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกโซนอเมริกาใต้เป็นที่ 1 ด้วยชัยชนะ 9 เสมอ 7 และแพ้ 2 แต่ในฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้ บราซิลจอดป้ายแค่รอบ 8 ทีมสุดท้าย ทำให้ดุงกาไม่ได้รับการต่อสัญญา และแต่งตั้ง มาโน เมเนเซส ขึ้นมาเป็นกุนซือ ซึ่งใช้ผู้เล่นดาวรุ่ง ทำให้ไม่ประสบความสำเร็จในรายการโคปา อเมริกา ปี 2011 สมาคมฟุตบอลบราซิลจึงตัดสินใจใช้บริการของ หลุยส์ เฟลิเป สโคลารี อีกครั้ง เมื่อ 28 พ.ย. 2012
โค้ช : หลุยส์ เฟลิเป สโคลารี ได้หวนกลับมาคุมเซเลเซาอีกครั้ง หลังเคยพาทีมบราซิลคว้าแชมป์โลก ปี 2002 กุนซือชาวบราซิลขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่รู้ไส้รู้พุงนักเตะบราซิลเป็นอย่างดี ปรัชญาการทำทีมแซมบ้าต้องมีเกมรุกเด่น เกมรับเยี่ยม
“ทุกคนต้องเล่นเต็มที่เพื่อชาติ ไม่ต้องสนใจเรื่องนอกสนาม นักเตะทั้ง 11 คน ต้องรวมเป็นหนึ่งเดียว เป้าหมายไม่มีอย่างอื่น นอกจากแชมป์สถานเดียว”
สตาร์ : เนย์มาร์ กองหน้าบาร์เซโลนา แม้ฟอร์มการเล่นกับต้นสังกัดอาจจะยังไม่โดนใจแฟนบอลนัก แต่กับทีมชาติบราซิล หัวหอกวัยรุ่นคือความหวังของคนทั้งชาติในการพาทีมเจ้าภาพกลับมาทวงคืนบัลลังก์แชมป์ ซึ่งหวังว่าเราจะได้เห็นการเริงระบำสไตล์แซมบ้ากับถ้วยแชมป์โลกของบราซิลที่มาจากการระเบิดฟอร์มของ เนย์มาร์
เป้าหมาย : บราซิลน่าจะผ่านรอบแรกได้อย่างไม่ยากเย็นนัก และน่าจะทะลุเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศเป็นอย่างน้อย และมีโอกาสคว้าแชมป์โลกได้อีกครั้ง เพื่อลบล้างความผิดหวังที่พ่ายอุรุกวัยในรอบชิงที่มาราคาน่า ปี 1950 ที่ชาวบราซิลยังจำได้ไม่ลืม แม้จะผ่านมา 64 ปีแล้วก็ตาม
เม็กซิโก (อันดับ 19 โลก)
“ทีมจังโก้” จะเรียกว่าเป็นขาประจำของโซนคอนคาเคฟคงไม่ผิด เพราะเพลย์ออฟทีไร เม็กซิโกมักจะตบเท้าเข้ารอบสุดท้ายมาตลอด ผ่านเข้าเล่นรอบสุดท้ายมาแล้ว 14 ครั้ง และได้เข้ารอบสุดท้ายติดต่อกันทุกครั้ง ตั้งแต่ปี 1994 เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกถึง 2 ครั้ง ปี 1970 และ 1986 ซึ่งทั้งสองครั้งเม็กซิโกผ่านเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ และยังทำให้สนามแอซเตกาในกรุงเม็กซิโก ซิตี้ เป็นสนามแห่งเดียวในโลกที่ได้จัดการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกถึง 2 ครั้ง
ผลงานรอบเพลย์ออฟ ชนะนิวซีแลนด์ ตัวแทนจากโซนโอเชียเนีย ด้วยสกอร์รวม 2 นัด ชนะ 9-3 ทำให้ “ทรี คัลเลอร์” ตีตั๋วมาโลดแล่นที่บราซิล
โค้ช : มิเกล เอร์เรร่า กลายเป็นโค้ชคนที่ 4 ของทีมจังโก้ ในรอบ 6 สัปดาห์ มารับงานช่วงเตะเพลย์ออฟ แม้จะเข้ามากุมบังเหียนไม่นาน แต่เขาก็รู้จักนักเตะดี เพราะส่วนใหญ่คุมทีมสโมสรในลีกเม็กซิโก ซึ่งนักเตะชุดนี้เป็นการผสมผสานนักเตะท้องถิ่นกับนักเตะที่ไปค้าแข้งต่างประเทศ ทั้ง ฮาเวียร์ เฮอร์นานเดซ “ชิชาริโต”, เอคตอร์ โมเรโน่ หรือ อันเดรส กวาร์ดาโด ยังพอที่จะทำให้เม็กซิโกดูน่าเกรงขามอยู่บ้าง แน่นอนว่าพวกเขายังเหลืองานที่ต้องทำอีกเยอะ
“ผมบอกนักเตะอยู่เสมอ ไม่ว่าจะมาจากทีมดังแค่ไหน หากลองอยู่ในสนามเดียวกัน พวกคุณก็มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน แน่นอน เม็กซิโกต้องการเข้ารอบสองให้ได้ นั่นคือเป้าหมายเบื้องต้น”
สตาร์ : ฮาเวียร์ เฮอร์นานเดซ กองหน้า แมนฯ ยูไนเต็ด ผลงานกับต้นสังกัดก็ไม่คงเส้นคงวา เพราะส่วนใหญ่ชิชาริโตจะนั่งอยู่ที่ม้านั่งสำรองเสียมากกว่า แต่กับทีมชาติ กองหน้าฉบับกระเป๋าบอกเต็มที่ ใส่หมดใจอยู่แล้ว เพื่อหวังให้ทีมบ้านเกิดเข้ารอบลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้
เป้าหมาย : เม็กซิโกน่าจะผ่านแคเมอรูนได้ แต่คงไม่ผ่านเจ้าภาพบราซิล และต้องลุ้นเข้ารอบสองกับโครเอเชีย ขึ้นอยู่กับฟอร์มในช่วงนั้น และถ้าหลุดเข้ารอบไปก็คงไม่ผ่านรอบ 16 ทีม เหมือนสองครั้งที่ผ่านมา
โครเอเชีย (อันดับ 20 โลก)
“ตาหมากรุก” เคยประสบความสำเร็จสูงสุด คว้าอันดับ 3 ฟุตบอลโลก 1998 ที่ฝรั่งเศส แต่ผลงานตกต่ำเรื่อยๆ ด้วยการตกรอบแบ่งกลุ่มฟุตบอลโลก 2002 และฟุตบอลโลก 2006 ที่เยอรมนี และไม่ผ่านรอบคัดเลือกไปฟุตบอลโลก 2010 การกลับมาครั้งนี้ นักเตะ “ตาหมากรุก” หมายมั่นปั้นมืออย่างมากที่จะกลับมาสร้างเซอร์ไพรส์ให้บรรดาแฟนบอลได้ประจักษ์ ยิ่งได้ นิโก้ โควัช อดีตกัปตันทีมชาติ กุนซือหนุ่มไฟแรง เริ่มงานใหม่ด้วยการคุมทีมเอาชนะไอซ์แลนด์ได้ 2-0 ในรอบเพลย์ออฟ ตีตั๋วสู่เวิลด์คัพสำเร็จ เป้าหมายต่อไปคือการเรียกความมั่นใจกลับคืนมาให้ได้ ซึ่งการมีนักเตะชั้นนำในทีมอย่าง ลูก้า โมดริช เพลย์เมกเกอร์จาก เรอัล มาดริด, ดาริโย เซอร์นา แบ็กขวาตัวเก๋า และกองหน้าจอมถล่มประตูอย่าง มาริโอ มานด์ซูคิช ทัพโครแอตจึงน่าจะกลับมาสู่เส้นทางที่ดีได้
โค้ช : นิโก้ โควัช อดีตกองกลางจอมทุ่มเทที่เกิดในเยอรมนี สร้างชื่อมาอย่างยาวนานในฐานะกัปตันทีมของโครเอเชีย เลิกเล่นฟุตบอลปี 2009 โดยลงเล่นให้ทีมชาติโครเอเชีย จากปี 1996 2008 รวม 83 แมตช์ ก่อนจะเริ่มไปจับงานโค้ชในออสเตรีย จนกระทั่งได้รับการแต่งตั้งให้เข้ามาคุมทีมชาติชุดยู-21 เมื่อ ม.ค. ปี 2013
“เราไม่หวังจะเป็นแชมป์กลุ่ม แต่เราต้องก้าวผ่านรอบแรกไปให้ได้ และทำวันนี้ให้ดีที่สุด” โควัช กุนซือวัย 43 ปี กล่าว
สตาร์ : มาริโอ มานด์ซูคิช กองหน้าจากบาเยิร์น มิวนิก เป็นกำลังหลักของทีม “ตาหมากรุก” โดยเฉพาะในรอบคัดเลือก ที่ทำผลงานได้ดี ด้วยลีลาการเข้าฮอสที่หาตัวจับได้ยาก หากกองหลังคู่ต่อสู้เหม่อประมาทมีสิทธิน้ำตาตก ต้องดูว่าในรอบแรกนี้เขาจะงัดฟอร์มเก่งให้ทีมชาติโครเอเชียผ่านเข้ารอบต่อไปได้หรือไม่ ต้องติดตาม
เป้าหมาย : น่าจะต้านบราซิลเจ้าภาพไม่อยู่ในนัดเปิดสนาม แต่มีดีพอที่จะเอาชนะแคเมอรูนและเม็กซิโกได้ สุดท้ายน่าจะกอดคอเจ้าภาพเข้ารอบสองต่อไป หากพวกเขาเล่นได้ตามมาตรฐาน
แคเมอรูน (อันดับ 59 โลก)
ฉายา “หมอผี” นับเป็นทีมจากแอฟริกาที่สร้างชื่อเสียง แจ้งเกิดในฟุตบอลโลก ปี 1990 หลุดเข้าไปถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ หลังจากนั้นพวกเขาทำได้แค่เข้าร่วมรอบสุดท้ายและตกรอบแรก ต่อเนื่องมาตลอดในปี 1994, 1998, 2002 และ 2010 แต่ก็มีสถิติเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลกมากที่สุดในทวีปแอฟริกา (7 ครั้ง) ในศึกฟุตบอลโลกหนนี้ พวกเขาต้องเล่นเพลย์ออฟโซนแอฟริกา และเอาชนะตูนิเซีย สกอร์รวม 2 นัด ชนะ 41
โค้ช : โวล์ฟ เคอร์ฟิงเก ผ่านการคุมทีมสโมสรในบ้านเกิดเยอรมนีมาอย่างโชกโชน เข้ามาคุมทีมชาติแคเมอรูน เมื่อ 22 พ.ค. 2013 นำทีมลงเล่น 10 นัด ชนะ 4 เสมอ 4 แพ้ 2
“ยอมรับว่าเรามาไกลเกินคาด สำหรับรอบนี้แม้ชื่อชั้นและศักยภาพนักเตะจะเป็นรองทุกทีม แต่เราจะต่อสู้ด้วยแท็กติก เพื่อที่จะสร้างชื่ออีกครั้งเหมือนปี 1990”
สตาร์ : ซามูเอล เอโต กองหน้า เชลซี ถือเป็นกำลังสำคัญของทีมชาติแคเมอรูนชุดนี้ แม้สังขารจะล่วงเลยไปเยอะ ไม่ปราดเปรียวเหมือนแต่ก่อน แต่ทุกครั้งที่ลงทำหน้าที่เพื่อชาติ เขาก็พร้อมที่จะแผลงฤทธิ์ให้คู่แข่งได้เจ็บปวดทุกครั้งไป
เป้าหมาย : อยู่ในกลุ่มหนัก ประกอบกับฟอร์มการเล่นในช่วงหลังตกลงไป เข้ารอบสองได้ก็ถือว่าปาฏิหาริย์แล้ว ขอแค่ไม่แพ้รวดกลับไป 3 นัด ก็น่าจะเป็นที่ภาคภูมิใจไปได้อีก 4 ปี ก่อนที่จะกลับมาสู้ใหม่ในฟุตบอลโลกครั้งหน้า


