posttoday

โชซอนกับชนชั้นในสังคม (1)

23 กุมภาพันธ์ 2557

โดย เพียงออ วิไลย

โดย เพียงออ วิไลย

[email protected]

หากมองย้อนไปในอดีต อาณาจักรโชซอน (ค.ศ. 1392-1910) นับเป็นยุคที่เกาหลีมีความเจริญถึงขีดสุดในด้านการเมือง การปกครอง สังคม และศิลปวิทยาการ ก่อนที่จะถูกยึดครองโดยจักรวรรดิญี่ปุ่น อาจเรียกว่าเป็นยุคเรอเนสซองส์ของเกาหลีก็ย่อมได้... แม้ว่าราชอาณาจักรจะถูกปกครองโดยกษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ “พระเจ้าแทโจ ??” ผู้สถาปนาราชวงศ์โชซอนนี้ ได้ทรงตัดสินพระทัยตามขุนนางผู้เป็นมันสมองของพระองค์คนหนึ่งที่ชื่อว่า “จองโดจอน ???” ให้มีสภาขุนนางทั้งฝ่ายบู๊และบุ๋น คอยถวายคำปรึกษาแด่กษัตริย์ และมีสิทธิที่จะร้องขอให้กษัตริย์ทบทวนการตัดสินพระทัย หรือคัดค้านได้...

การมอบอำนาจให้แก่สภาขุนนางเช่นนี้ ไม่เคยมีมาก่อนในสมัยโครยอ ซึ่งเป็นอาณาจักรก่อนหน้า สภาขุนนางทำให้กษัตริย์โชซอนสามารถตัดสินพระทัยในกิจการบ้านเมืองได้อย่างถูกต้อง และเป็นการแก้ปัญหาการครอบงำพระราชอำนาจจากเสนาบดีเพียงหนึ่งหรือสองคน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อาณาจักรโครยอ ต้องล่มสลายไป...แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการคานพระราชอำนาจ (อย่างน่าอึดอัดขัดใจผู้ชมในซีรีส์เกาหลีหลายเรื่อง) และเป็นการสร้างอำนาจให้ชนชั้นขุนนาง กับแบ่งแยกชนชั้นขุนนางกับชนชั้นอื่นๆ ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ให้ยิ่งแตกต่างห่างไกลกันราวฟ้ากับเหว...

การแบ่งชนชั้นในยุคโชซอนมีรากฐานมาจากชนชั้นในสมัยโครยอ ทว่ากลับเข้มงวดขึ้นจากการวางรากฐานระบบสังคมของ “จองโดจอน” โดยนำเอา “หลักปรัชญาขงจื๊อ ????” เข้ามาสู่อาณาจักร และปลูกฝังให้เป็นรากฐานความเชื่อใหม่ของสังคม ... ในสมัยโชซอนได้แบ่งคนออกเป็น 4 วรรณะอย่างชัดเจน ได้แก่ ชนชั้น “ยางบาน??” คือ ขุนนางฝ่ายบู๊และบุ๋น / “จุงอิน ??” คือ ชนชั้นกลาง ซึ่งสามารถสอบควากอ (?? สอบเข้ารับราชการ) ได้เพียงระดับล่างเท่านั้น / “ซังมิน ??” คือ สามัญชนทั่วไป พ่อค้า ชาวบ้าน เกษตรกร กรรมกร และ “ชอนมิน ??” ชนชั้นทาสที่เรียกว่า โนบิ (??)

ซึ่งมีทั้งทาสของทางการ และทาสของบุคคล ... ด้วยเหตุนี้ “จองโดจอน” จึงต้องล้มล้างศาสนาพุทธที่ไม่แบ่งแยกชนชั้นของคน แต่นับถือกันด้วยภูมิจิตภูมิธรรม ซึ่งผู้มีปัญญาสามารถขัดเกลาจิตตน เพื่อยกระดับภูมิจิตภูมิธรรมให้สูงขึ้นได้ ไม่ว่าจะอยู่ในวรรณะไหน ดังนั้นศาสนาพุทธที่เคยเป็นศาสนาหลักมากว่า 700 ปี ตั้งแต่ยุคซิลล่า จึงค่อยๆ เสื่อมถอยไปจากอาณาจักรโชซอน


ชนชั้น “ยางบาน” มีสิทธิและอำนาจเหนือชนชั้นอื่นๆ และห้ามมิให้มีการแต่งงานข้ามชนชั้น แม้บิดาเป็น “ยางบาน” แต่มารดาเป็นชนชั้นชอนมิน ลูกที่เกิดมาก็ยังคงเป็นชอนมิน คือ ต้องเป็นทาสในเรือนเบี้ย การเป็นทาสนั้นแม้ว่าจะได้รับความเมตตาจากเจ้านายเพียงใดก็ตามแต่ มนุษย์ทุกคนย่อมมีจิตใจที่แสวงหาอิสรภาพ ... ชนชั้นกลาง “จุงอิน” และสามัญชน “ชอนมิน” ก็ย่อมต้องการนั่งเกี้ยวเหมือน “ยางบาน” ... สตรีทุกคนไม่ว่าจะชนชั้นใด ก็ย่อมต้องการที่จะแต่งกายให้สวยงามเหมือนกัน การแย่งแยกชนชั้นทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมในสังคมมากมาย ทว่าคนส่วนใหญ่ก็ต้องยอมรับ ...

นอกจากพละกำลังแล้ว สิ่งหนึ่งที่ทำให้ชนชั้นดำรงอยู่ได้ คือ ความรู้...ก่อนที่จะมีภาษาเกาหลีเป็นของตนเอง ชาวโชซอนยังคงเล่าเรียนการเขียนอ่านด้วยภาษาจีน และ “ยางบาน” ทั้งหลายมีโอกาสศึกษาเล่าเรียนมากกว่าชนชั้นอื่นๆ จึงสามารถรู้ทั้งศาสตร์และศิลป์ของเกาหลีและจีนได้ “ความรู้ คือ อำนาจของชนชั้นปกครอง” ด้วยเหตุนี้ เมื่อ “พระเจ้าเซจงมหาราช ????” ของโชซอน ได้ทรงริเริ่มจะประดิษฐ์อักษรเกาหลีอย่างง่าย สามารถเรียนรู้ได้ไวแทนภาษาจีน เพื่อให้ประชาชนทุกคนในราชอาณาจักรของพระองค์สามารถอ่านออกเขียนได้ จึงถูกคัดค้านอย่างหนักจากชนชั้น “ยางบาน” เพราะจะทำให้อำนาจที่พวกเขามีเหนือชนชั้นอื่นๆ ลดน้อยลงไป...

(สัปดาห์นี้ หากแก้หมายเหตุทัน ขอแก้ด้วยค่ะ ถ้าไม่ทันยกเป็นแก้สัปดาห์หน้าค่ะ)

วรรณกรรมเยาวชนเกาหลี ชุด “โรงเรียนแมว” (โคยางีฮักเกียว??? ?? ) เป็นหนังสือ “เบสต์เซลเลอร์” ที่เด็กๆ นับแสนคนในยุโรปโหวตให้ได้รับรางวัล “วรรณกรรมเยาวชนยอดเยี่ยมทางด้านคุณธรรม Le Prix des Incorruptibles” ของฝรั่งเศส ...มาสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กๆ กล้าที่จะ “คิดและจินตนาการ” ด้วยหนังสือชุดนี้ ที่ร้านนายอินทร์และซีเอ็ดทั่วประเทศ สั่งซื้อจำนวนมากติดต่อสำนักพิมพ์โพสต์บุ๊กส์ โทร. 02-240-3700 ต่อ 1633 [email protected]

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด บีจี ปทุม พบ เมืองทอง ฟุตบอลไทยลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68