"ค้าชายแดน" พระเอกกลางวิกฤตส่งออก
เมื่อการส่งออกไปยังตลาดเป้าหมายอย่างสหรัฐ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนเดิม
ชลธิชา ภัทรสิริวรกุล
เมื่อการส่งออกไปยังตลาดเป้าหมายอย่างสหรัฐ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนเดิมจนไม่สามารถพึ่งพาเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้ ทำให้ประเทศไทยต้อง ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์มาให้ความสำคัญกับการค้าชายแดนมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ที่จะทำให้การค้ารูปแบบนี้ทวีบทบาทและความสำคัญเพิ่มขึ้น
หากมองในแง่ภูมิศาสตร์แล้ว หลายฝ่ายมองตรงกันว่า ประเทศไทยมีความได้เปรียบด้านนี้ เนื่องจากมีทำเลที่ตั้งเป็นศูนย์กลางของเส้นทางคมนาคมตามระเบียงเศรษฐกิจอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ที่เชื่อมโยงเมืองสำคัญในกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง ได้แก่ ไทย จีนตอนใต้ (มณฑลยูนนาน) เวียดนาม กัมพูชา ลาว และพม่า ซึ่งปัจจัยนี้จะช่วยส่งเสริมบทบาทของไทยในด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศได้เป็นอย่างดี
ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านตามแนวชายแดนคึกคักและมีการเติบโตสูงขึ้นอย่างมาก อีกทั้งยังก่อให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลายประเภทตามมาด้วย เช่น ธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจโลจิสติกส์ และธุรกิจค้าปลีก เป็นต้น ซึ่งจะช่วยขยายการค้าและเศรษฐกิจภายในภูมิกาค
สอดคล้องกับการสำรวจภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจำไตรมาส 4 ปี 2556 และแนวโน้มปี 2557 จากสมาชิกหอการค้าไทยและผู้เข้าสัมมนาจำนวน 713 ตัวอย่าง ครั้งล่าสุดเมื่อปลายเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ที่ หอการค้าแต่ละภาคของไทยเห็นตรงกันว่า การท่องเที่ยวและการค้าชายแดนเป็นภาคส่วนเดียวที่ยังขยายตัวได้ดีพอที่จะช่วยประคองเศรษฐกิจในภูมิภาคให้เติบโตต่อไป ขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถาม 40.9% ระบุว่า เศรษฐกิจของจังหวัดโดยรวมมีแนวโน้มแย่ลง 44.5% ชี้ว่า การบริโภคภายในจังหวัดแย่ลง และ 42.8% ย้ำว่า การลงทุนภาคเอกชนในจังหวัดแย่ลงเช่นกัน
วิโรจน์ จิรัฐิติกาลโชติ ประธานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจพื้นที่ภาคเหนือ ฉายภาพว่า ภาวะเศรษฐกิจของภาคเหนือในไตรมาส 4 ปีนี้ยังมีสัญญาณการชะลอตัวลงเล็กน้อย เนื่องจากเศรษฐกิจประเทศที่ชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจโลก รวมทั้งปัจจัยทางการเมืองที่ยังขาดเสถียรภาพ ทำให้ภาคเอกชนชะลอการลงทุนออกไป
อย่างไรก็ตาม การค้าชายแดนของภาคเหนือยังไปได้ดี แม้ว่าจะมีด่านชายแดนเพียง 3 แห่งก็ตาม แต่ยังมีปัจจัยที่น่ากังวล คือ การผลักดันให้ตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ต้องหยุดชะงักเนื่องจากอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ซึ่งต้องการให้รัฐบาลเร่งดำเนินการเรื่องนี้ให้เร็ว เพราะจะเป็นโอกาสของผู้ประกอบการที่จะใช้เป็นสะพานเข้าสู่ตลาดอาเซียน โดยเฉพาะกลุ่ม ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี)
ด้าน ประพันธ์ เตชะสกลกิจกูร ประธาน คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) มองว่า เศรษฐกิจในภาคอีสานชะลอตัวอย่างชัดเจน เนื่องจากเพราะรายได้ของคนท้องถิ่นลดลง รวมทั้งอุตสาหกรรมในพื้นที่ส่วนหนึ่งได้ย้ายฐานไปประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชาและพม่า เพื่อลดผลกระทบจากต้นทุนค่าแรงในประเทศที่เพิ่มขึ้น แต่การค้าชายแดนยังไปได้ดี เพราะภาคอีสานมีด่านชายแดนมากถึง 20 แห่ง และปัจจุบันบรรยากาศการซื้อขายเปลี่ยนไปจากเดิม ที่เป็นชาวบ้านสองประเทศซื้อขายสินค้ากัน แต่ตอนนี้มีการขนส่งต่อไปยังประเทศที่ 3 ด้วย ซึ่งคาดว่าเมื่อเปิดเออีซีอย่างเต็มรูปแบบจะยิ่งทำให้การค้าชายแดนคึกคักมากยิ่งขึ้นอีก
ทั้งนี้ ขณะนี้ทั้งภาครัฐ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และภาคเอกชน ต่างได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาจังหวัดตามแนวชายแดนอย่างมาก โดยภาครัฐมีแนวทางที่จะพัฒนาเขตนิคมอุตสาหกรรมใหม่ เพื่อรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ยังมีแนวคิดที่จะจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนระหว่างไทย-พม่า และระหว่างไทย-กัมพูชา เพิ่มขึ้นอีกด้วย
สำหรับธุรกิจไทยที่มีโอกาสขยายการส่งออกผ่านช่องทางการค้าชายแดน ได้แก่ สินค้าในกลุ่มอุปโภคและบริโภค ไม่ว่าจะเป็นอาหารและเครื่องดื่ม บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำตาลทราย และเครื่องสำอาง ทั้งนี้สินค้าจากไทยเหล่านี้ต่างเป็นที่นิยมในกลุ่ม ผู้บริโภคในประเทศเพื่อนบ้าน
นอกจากนี้ ยังเป็นโอกาสของกลุ่มสินค้าเครื่องจักรกลประเภทต่างๆ ของไทยที่จะเข้าไปทำตลาดในต่างแดน เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านมีความต้องการใช้เครื่องจักรกลทั้งในภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นตามกระแสการขยายการลงทุนในประเทศนั้นๆ
ขณะที่กลุ่มสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ก็มีโอกาสขยายตัวได้ต่อไป เนื่องจากตลาดในประเทศกลุ่มซีแอลเอ็มวี ได้แก่ กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม ยังมีสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ใช้น้อย
เมื่อมองในแง่การเติบโต พบว่ามูลค่าการค้า ชายแดนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กรมการค้า ต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า การค้า ชายแดนระหว่างไทยกับ 4 ประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ พม่า ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย เมื่อปี 2555 มีมูลค่ารวมสูงถึง 9.1 แสนล้านบาท และคาดว่าตัวเลขดังกล่าวจะขยับขึ้นไปถึงระดับ 1 ล้านล้านบาท ภายใน 2 ปีข้างหน้า ซึ่งมูลค่าดังกล่าวคิดเป็น 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) และคิดเป็น 5% ของการส่งออก ทั้งหมด
ดังนั้น ต่อไปนี้จะมองว่าเป็นแค่ตลาดนัดชายแดนไม่ได้อีกแล้ว แต่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมกันผลักดันการค้าข้ามแดนนี้อย่างจริงจัง เพื่อให้เป็นอีกหนึ่งแรงช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ


