'เซเว่น' ร้านสะดวกซื้อสีเขียว
“ญี่ปุ่น” อาจเป็นประเทศที่ตื่นตัวด้านการประหยัดพลังงานมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก โดยเฉพาะหลังเกิดวิกฤตการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิมา
โดย...นันทิยา วรเพชรายุทธ
“ญี่ปุ่น” อาจเป็นประเทศที่ตื่นตัวด้านการประหยัดพลังงานมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก โดยเฉพาะหลังเกิดวิกฤตการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิมา เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2011 ที่ยังคงมีผลต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ทุกภาคส่วนต่างเดินหน้ารณรงค์ประหยัดพลังงานอย่างจริงจัง ซึ่งรวมทั้งบรรดาร้านสะดวกซื้อ (คอนบินิ) ที่ไม่เคยหลับใหล
การเปิดตลอด 24 ชั่วโมง 365 วันต่อปี อาจยังไม่ใช่ตัวเลขที่น่ากังวล หากญี่ปุ่นไม่ใช่ประเทศที่มีร้านสะดวกซื้อมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลกเมื่อเทียบกับขนาดประเทศ คอนวีเนียนซ์ สโตร์ ถึง 5 หมื่นแห่งทั่วประเทศ จึงไม่ได้ทำเพียงแค่ปรับตัวเพื่อรับสังคมผู้สูงอายุเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องปรับตัวไปสู่การเป็นร้านค้าสะดวกซื้อสีเขียว ที่นับเป็นต้นแบบของร้านค้าประหยัดพลังงานยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี
“ต้นทุนพลังงานถือเป็นค่าใช้จ่ายสูงที่สุดอันดับ 2 ของร้านเซเว่นอีเลฟเว่น รองจากค่าแรงพนักงาน และมีแนวโน้มจะแพงขึ้นเรื่อยๆ การประหยัดพลังงานจึงนับเป็นความท้าทายของเรา” สุวิทย์ กิ่งแก้ว รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ซีพี ออลล์ กล่าว
ไม่เพียงแต่ก้าวเดินไปในทิศทางเดียวกับเซเว่นฯ ประเทศญี่ปุ่น ในแง่ของเทรนด์ค้าปลีก ซีพี ออลล์ ยังทยอยรับเอาเทรนด์และเทคโนโลยีร้านค้าสีเขียวมาปรับใช้กับเซเว่นฯ ประเทศไทย จำนวนหนึ่งจากทั้งหมดราว 7,300 สาขาในปัจจุบัน เพื่อให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืน หลังจากที่ญี่ปุ่นเคยปักธงประสบความสำเร็จมาแล้วกับแคมเปญ “อีโค คอนบินิ”
รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ซีพี ออลล์ กล่าวว่า เซเว่นฯ มีการปรับตัวเพื่อเป็นร้านค้าสีเขียว ลดการใช้พลังงานและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้โครงการ “เซเว่น โก กรีน” (7 Go Green) ซึ่งแบ่งเป็น 4 ระยะต่อเนื่องคือ 1.ลดการใช้ถุงพลาสติก 2.ประหยัดการใช้พลังงานในร้าน 3.กรีน โลจิสติกส์ และ 4.กรีน โปรดักส์ โดยมีการเปิดร้านสะดวกซื้อประหยัดพลังงานอย่างเต็มรูปแบบครั้งแรก ที่ร้านเซเว่นฯ สาขาสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ จ.นนทบุรี
ร้านประหยัดพลังงานต้นแบบนั้นประกอบไปด้วยการใช้หลอดไฟ LED ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ใช้กระจก 2 ชั้น ที่มีฉนวนกันความร้อนตรงกลาง ใช้เครื่องปรับอากาศระบบอินเวอร์เตอร์ ปรับย้ายคอยล์ร้อนไว้นอกร้านและนำพลังงานไปทำน้ำร้อนเพื่อล้างภาชนะ (Heat Exchange) เปลี่ยนมาใช้บัลลาด อิเล็กทรอนิกส์ และออกแบบร้านให้ใช้แสงสว่างธรรมชาติในตอนกลางวันมากขึ้น
นวัตกรรมดังกล่าวสามารถช่วยประหยัดการใช้พลังงานในร้านลงได้ถึง 50% และแม้ว่าจะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างโดยไม่รวมค่าที่ดินสูงถึงราว 20 ล้านบาท หรือมากกว่าร้านเซเว่นฯ ทั่วไปถึง 4 เท่า ทว่าผู้บริหารของซีพี ออลล์ ยืนยันว่าพร้อมทยอยเดินหน้าโครงการอย่างต่อเนื่อง ทั้งร้านค้าเดิมและสาขาใหม่ ซึ่งคาดว่าในปีนี้จะมีจำนวนทั้งหมดราว 7,500 สาขา โดยที่ผ่านมามีการทยอยดำเนินแผนประหยัดพลังงานตามร้านในหลายพื้นที่ทั่วประเทศแล้ว เช่น การเปลี่ยนแอร์อินเวอร์เตอร์และการเปลี่ยนหลอดไฟแอลอีดี
หากพิจารณาดูจากประเทศต้นแบบอย่างญี่ปุ่นจะพบว่า แนวคิดร้านสะดวกซื้อได้ประหยัดพลังงานนั้นเริ่มมีมาตั้งแต่ราว 5 ปีก่อน และยิ่งชัดเจนขึ้นหลังจากที่ชาวญี่ปุ่นเผชิญวิกฤตขาดแคลนพลังงานครั้งล่าสุด โดยไมนิจิ สื่อญี่ปุ่นระบุว่า การใช้หลอดไฟแอลอีดีและแผงโซลาร์เซลล์เริ่มพบได้มากขึ้นตามร้านคอนวีเนียนซ์ สโตร์ เช่น ลอว์สัน เชน ร้านสะดวกซื้อใหญ่สุดอันดับ 2 ที่มีการติดตั้งโซลาร์เซลล์ในร้าน 1,000 สาขา และยังใช้เทคโนโลยีกักเก็บหิมะในหน้าหนาว เพื่อใช้ทำความเย็นในหน้าร้อน ขณะที่ฝั่งเซเว่นฯ ยักษ์สะดวกซื้อเบอร์ 1 เพิ่งใช้เทคโนโลยีปั๊มน้ำแบบพลังงานความร้อนใต้ดินในปีนี้
เทรนด์ดังกล่าวนี้ยังขยายไปยังเกาะไต้หวันที่มีร้านสะดวกซื้อหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งในโลก โดยรัฐเป็นผู้ส่งเสริมโครงการร้านสะดวกซื้อสีเขียว เพื่อพยายามลดการใช้พลังงานในคอนวีเนียนซ์ สโตร์ ราว 9,800 แห่ง และยังมีความพยายามในรูปแบบเดียวกันนี้ในอีกหลายประเทศในเอเชีย เมื่อประชาชนเริ่มหันมาตระหนักในปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น หลายคนต่างก็เคยเผชิญกับตัวเองมาแล้วทั้งในรูปแบบของน้ำท่วม ภาวะอากาศแปรปรวนและอื่นๆ ในขณะที่แต่ละประเทศต่างต้องดิ้นรนเสาะหาความมั่นคงทางพลังงาน
เพราะปัญหาสิ่งแวดล้อมกำลังเป็นประเด็นไร้พรมแดนที่ทุกคนต่างรับรู้กันถ้วนหน้าแล้วในวันนี้


