ผู้หญิงในกองทัพ 'เท่าเทียม'หรือ'จุดอ่อน'?
“ชาวอเมริกันทั้งชายและหญิงได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่และสละชีพเพื่อชาติมาด้วยกัน และถึงเวลาแล้วที่กองทัพต้องยอมรับความจริงข้อนี้”
“ชาวอเมริกันทั้งชายและหญิงได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่และสละชีพเพื่อชาติมาด้วยกัน และถึงเวลาแล้วที่กองทัพต้องยอมรับความจริงข้อนี้”
โดย...ลภัสรดา ภูศรี
“ชาวอเมริกันทั้งชายและหญิงได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่และสละชีพเพื่อชาติมาด้วยกัน และถึงเวลาแล้วที่กองทัพต้องยอมรับความจริงข้อนี้”
คำประกาศข้างต้นของ ลีออน เพเนตตา รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ นับเป็นการส่งสัญญาณอย่างเป็นทางการครั้งล่าสุดว่า ทางกระทรวงกลาโหมสหรัฐหรือที่รู้จักกันดีในชื่อเพนตากอนนั้น เตรียมประกาศยกเลิกกฎข้อบังคับที่ระบุห้ามมิให้ “ทหารหญิง” สวมคอมแบตออกรบในแนวหน้ายามเกิดสงครามในเร็ววันนี้
เรียกได้ว่าคำประกาศดังกล่าว เป็นการปฏิวัติกองทัพสหรัฐครั้งใหญ่ ที่ต้องจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของกองทัพพญาอินทรีเลยทีเดียว
เพราะถึงแม้ว่าตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ผู้หญิงเข้ามามีบทบาทในกองทัพสหรัฐเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากสถิติล่าสุดในปี 2011 กองทัพสหรัฐมีทหารหญิงประจำการอยู่ราว 2.04 แสนคน หรือคิดเป็น 14.5% ของทหารอเมริกันทั้งหมดกว่า 1.4 ล้านคน
แต่ทว่า สตรีชาวอเมริกันยังถูกจำกัดสิทธิในการเข้าร่วมในบางตำแหน่งอยู่ดี เช่น การเข้าร่วมในหน่วยปฏิบัติการทางทหารระดับสูง เช่น หน่วยนาวิกโยธิน (ซีล) หน่วยรบพิเศษของกองทัพบก (อาร์มี เรนเจอร์) หรือหน่วยปฏิบัติการพิเศษเดลตาฟอร์ซ
ดังนั้น แผนการยกเลิกกฎเหล็กของเพนตากอนในครั้งนี้ ก็เท่ากับเป็นการประเดิมเปิดทางให้ผู้หญิงสามารถเข้าร่วมการต่อสู้ในสนามรบภาคพื้นดิน ซึ่งหมายรวมถึงการเข้าร่วมปฏิบัติการจู่โจมภาคพื้นจับกลุ่มผู้ก่อการร้ายด้วยความสมัครใจ เฉกเช่นเดียวกับทหารชาย โดยไม่มีข้อจำกัดดังเช่นสมัยก่อน ที่ทหารหญิงได้รับอนุญาตให้ขับเครื่องบินโจมตีและใช้อาวุธบนเรือรบได้เท่านั้นอีกต่อไป
“นับเป็นก้าวแห่งประวัติศาสตร์ที่สังคมเริ่มยอมรับบทบาทของสตรีในฐานะผู้ทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยชาติมากขึ้น เพราะตลอดระยะเวลาที่ประเทศเผชิญกับสงคราม มีทหารหญิงนับพันคนต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่เหล่าทหารหาญอย่างไม่ย่อท้อ” แพตตี เมอร์เรย์ ประธานคณะกรรมการกิจการอดีตวุฒิสภาสหรัฐ กล่าว
สอดคล้องกับความเห็นของ เกรก เจคอบ กรรมการด้านนโยบายประจำเครือข่ายปฏิบัติการเพื่อข้าราชการหญิง ซึ่งเป็นองค์กรรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชนในสหรัฐ กล่าวชื่นชมแผนการดังกล่าว ว่าเป็นการการันตีให้รู้ว่า ตั้งแต่นี้ไปทางกองทัพสหรัฐจะมีกำลังพลที่มีคุณภาพ โดยไม่มีข้อจำกัดด้านความแตกต่างทางเพศอีกต่อไป
“ถ้าพลแม่นปืนฝีมือดีที่สุดเป็นผู้หญิง เธอก็ควรได้ทำหน้าที่นั้น” เจคอบ กล่าว พร้อมย้ำว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าว จะช่วยฟื้นฟูภาพลักษณ์ผู้หญิงให้ดีขึ้นว่า เพศหญิงไม่ใช่เพศที่อ่อนแออีกต่อไปอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางเสียงชื่นชมยินดีในโอกาสที่ผู้หญิงจะก้าวเข้ามามีบทบาทในกองทัพมากขึ้นได้อีกถึง 2.3 แสนตำแหน่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเสมอภาคทางเพศนั้น ขณะเดียวกันก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่าย ทั้งอดีตทหารผ่านศึกกลุ่มคนหัวอนุรักษนิยม หรือแม้แต่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกัน ที่อดแสดงความกังวลต่อความเคลื่อนไหวนี้ไม่ได้ว่า การเปิดประตูให้ผู้หญิงมีส่วนร่วมในกองทัพ โดยเฉพาะให้เข้ามีบทบาทสำคัญในการสู้รบ ไม่ต่างอะไรกับการที่กองทัพสหรัฐมี “จุดอ่อน” เพิ่มขึ้น
ไรอัน สมิท อดีตนาวิกโยธินสหรัฐ ได้เขียนบทบรรณาธิการแสดงความเห็นต่อต้านแนวคิดดังกล่าว เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์วอลสตรีต เจอร์นัล ระบุว่า ผู้หญิงอาจกลายเป็นตัวการบั่นทอนศักยภาพและความพร้อมในการต่อสู้ของกองทัพสหรัฐก็เป็นได้
สมิท เล่าย้อนเหตุการณ์เมื่อครั้งที่กองทัพสหรัฐปฏิบัติการบุกยึดอิรักเมื่อปี 2003 ซึ่งในขณะนั้น หน่วยประจำการของเขาต้องออกลาดตระเวนกันไปตามพื้นที่ต่างๆ แบบหามรุ่งหามค่ำ ทำให้ไม่ได้อาบน้ำชำระล้างร่างกายนานนับเดือน และเมื่อมีโอกาสสิ่งหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยคือ การแก้ผ้าอาบน้ำแบบกลางแจ้งพร้อมกัน!
“ผมไม่อยากนึกภาพเลย มันต้องทำให้นายทหารเสียสมาธิมากแน่ๆ และอาจเป็นอันตรายอย่างยิ่ง หากนายทหารทุกคน ซึ่งหมายรวมถึงผู้หญิงจำเป็นต้องแก้ผ้าอาบน้ำรวมกัน เนื่องจากสถานการณ์บังคับ” สมิท กล่าว พร้อมเตือนอีกว่า ความสัมพันธ์แบบรักๆ ใคร่ๆ ระหว่างกลุ่มทหารในหน่วย อาจเป็นชนวนให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกด้วย
“นอกเหนือจากเรื่องของการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ในอนาคต ที่อาจกลายเป็นอุปสรรคในการปฏิบัติหน้าที่ หากทหารหญิงต้องประจำการอยู่ในแนวหน้าแล้ว ยังมีเรื่องของการคบชู้และการทะเลาะเบาะแว้ง ซึ่งจะบั่นทอนความสามัคคี ของกองทัพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” อดีตนาวิกโยธินมะกัน กล่าว
ขณะเดียวกันทางด้าน จอห์น แมคเคน วุฒิสมาชิกรัฐแอริโซนาพรรครีพับลิกัน ซึ่งแม้จะออกมาให้การสนับสนุนการตัดสินใจของเพนตากอนในครั้งนี้ แต่ทว่าอดีตเชลยสงครามเวียดนามวัย 72 ปีผู้นี้ ก็อดแสดงความเป็นห่วงถึงมาตรฐานการคัดกรองทหารหญิงว่า อาจมีการผ่อนปรนกฎระเบียบบางอย่างเพื่อเอื้อต่อทหารหญิง ส่งผลให้มาตรฐานและความมีศักยภาพและความแข็งแกร่งของทหารในกองทัพสหรัฐลดน้อยถอยลงไปอีกด้วย
“ร่างกายของผู้หญิงไม่ได้ถูกสร้างมาให้มีความแข็งแกร่งอย่างผู้ชาย เพราะขนาดทหารชายหลายต่อหลายนายยังไม่ผ่านบททดสอบร่างกายอันหฤโหดเลย” คิงส์ลีย์ บราวน์ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเวย์นสเตตในสหรัฐ ซึ่งเขียนหนังสือที่มีชื่อว่า “การต่อสู้ : หลักฐานใหม่ทำไมผู้หญิงไม่ควรเข้าร่วมรบสงครามของชาติ” ระบุเสริม
พิสูจน์ได้จากความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ ที่ถึงแม้ว่าหน่วยบัญชาการนาวิกโยธินสหรัฐ เปิดศูนย์ฝึกอบรมเพื่อคัดเลือกทหารราบประจำหน่วย ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้หญิงเข้ามีส่วนร่วมเข้าร่วมทดสอบสมรรถภาพร่างกายเพื่อเป็นทหารราบของหน่วยเมื่อเดือน ก.ย.ปีที่แล้ว แต่ทว่ามีทหารหญิงเพียง 2 คนเท่านั้นที่อาสาเข้าร่วมฝึกฝน และทั้งคู่ก็ไม่สามารถผ่านบททดสอบสุดหินนั้นได้


