posttoday

“เก้าอี้ว่าง” ปริศนาใหม่ของเจ.เค.โรล์ลิ่ง

19 มกราคม 2556

จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อ แบร์รี แฟร์บราเทอร์ สมาชิกสภาท้องถิ่นแพกฟอร์ดเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน

จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อ แบร์รี แฟร์บราเทอร์ สมาชิกสภาท้องถิ่นแพกฟอร์ดเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน

โดย...จตุรภัทร ณัฐกานต์

จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อ แบร์รี แฟร์บราเทอร์ สมาชิกสภาท้องถิ่นแพกฟอร์ดเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน สิ่งที่เขาทิ้งไว้ไม่ใช่เพียงเก้าอี้ว่างในสภา แต่เป็นช่องว่างมหึมาที่ยากจะถมเต็ม ไม่ว่าจะเป็นช่องว่างระหว่างผู้คนในเมืองเล็กๆ ที่สงบสวยงามกับเคหะชุมชนอันเป็นเหมือนรอยด่าง ขณะเดียวกัน คลื่นใต้น้ำอันรุนแรงก็ได้ซัดกระแทกกับคนทุกกลุ่ม ลูกเกลียดชังพ่อแม่ วัยรุ่นต่อต้านผู้ใหญ่ คู่รักปิดบังความจริงในใจ ศัตรูคอยจ้องทำร้าย เพื่อนสนิทตีสองหน้าเข้าใส่กัน เห็นได้ว่า ทางออกของทุกปัญหาดูริบหรี่ เมื่อไม่มีใครพร้อมจะยื่นมือไปหาคนอื่นที่อยู่อีกฟากของช่องว่าง

หากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ คือเรื่องราวสมมติที่ โจแอนน์ “โจ” โรว์ลิง หรือที่เรารู้จักกันดีในนามปากกา เจ.เค. โรว์ลิง ผู้แต่ง Harry Potter ต้องการให้ผู้อ่านทั่วโลกได้รับรู้ ทำความเข้าใจ และตระหนักถึงช่องว่างอันมหึมานี้ นี่คงไม่ใช่เพียงแค่ช่องว่างของผู้คนในเมืองแพกฟอร์ดเท่านั้น แต่มันเป็นช่องว่างของคนทั้งโลก ที่ เจ.เค. โรว์ลิง ปรารถนาจะให้ช่องว่างนี้ได้รับการถมเต็ม ด้วยนวนิยายแห่งความหวังและการเปลี่ยนแปลง “The Casual Vacancy” หรือฉบับภาษาไทย “เก้าอี้ว่าง”

“คิมมองว่าช่องว่างที่เกิดขึ้นในนวนิยายเรื่องนี้ ไม่ได้เป็นช่องว่างของวัฒนธรรมใดวัฒนธรรมหนึ่ง และก็ไม่ใช่ของกาลเวลาใดเวลาหนึ่ง แต่มันเป็นของทั้งหมด พออ่านจบ คิมค้นพบว่า ถึงแม้ช่องว่างนี้จะเป็นเรื่องที่จริงมากๆ แต่มันจะมีกลิ่นอายของความเหนือจริงขึ้นมานิดหนึ่ง ซึ่งคิมคิดว่า ที่เขาบอกว่าความเหนือจริงอธิบายความจริงได้ดีกว่า มันชัดเจนกับนวนิยายเรื่องนี้มาก”

คิม จงสถิตย์วัฒนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ เริ่มต้นบทสนทนา เธอยอมรับว่า แรกเริ่มที่นวนิยายเรื่องนี้ประชาสัมพันธ์ออกไป หลายคนอาจจะมองว่าเหมือนกับ Harry Potter หรือเปล่า

“เก้าอี้ว่าง” ปริศนาใหม่ของเจ.เค.โรล์ลิ่ง

 

“อันดับแรกเราต้องบริหารความคาดหวังของผู้อ่าน ให้ทำความเข้าใจว่านี่ไม่ใช่ Harry Potter แม้จะเป็นคนเขียนคนเดียวกัน มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ก็มีจุดร่วมเดียวกัน เช่น Harry Potter จะเป็นแนวผจญภัยแฟนตาซี แต่เราก็เห็นว่าเขาพูดถึงความจริงอะไรบางอย่าง เช่น ธรรมะชนะอธรรม”

จุดเด่นหนึ่งอย่างที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนในตัว เจ.เค. โรว์ลิง คือเธอไม่ดูถูกผู้อ่าน “เราจะเห็นว่านักเขียนบางคนจุดประเด็นปัญหาแล้วบอกทางออก ซึ่งบางครั้งผู้อ่านอ่านแล้วรู้สึกว่าเป็นอย่างนั้นเลยเหรอ ชีวิตมันไม่ได้ขนาดนั้น แต่ เจ.เค. โรว์ลิง ทำได้โดดเด่นมากในเรื่องนี้ จุดประเด็นให้ทุกคนตั้งคำถามและสะท้อนในมุมของตัวเอง เขาไม่ได้บอกคำตอบสุดท้าย แต่เราต้องคิดเอง คิมคิดว่า เรื่องนี้เขาพยายามที่จะให้คนอ่านมีเวลาทบทวน ไตร่ตรอง อ่านแล้วมีความหวัง ไม่รู้สึกหดหู่ คิมเชื่อว่า ด้วยมนต์เสน่ห์ในสไตล์การเขียนของ เจ.เค. โรว์ลิง จะไม่ทำให้คนอ่านหดหู่แน่นอน แต่อ่านแล้วจะต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราเป็นอย่างนี้หรือไม่ สังคมที่เราอยู่ยังเป็นแบบนี้อยู่หรือเปล่า แล้วเราจะทำอย่างไรกับมันต่อไปดี”

จากที่กลุ่มคนอ่านของ เจ.เค. โรว์ลิง คือเด็กและเยาวชนเสียเป็นส่วนใหญ่ นวนิยายเรื่องนี้ได้พุ่งเป้าไปยังกลุ่มผู้อ่านที่เป็นผู้ใหญ่ สำนักพิมพ์จึงมีความคาดหวังกับนวนิยายเรื่องนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว ที่จะขยายฐานผู้อ่านในระดับที่โตเพิ่มมากขึ้น

“เราคาดหวังเยอะมากกับนวนิยายเรื่องนี้ เพราะถือว่าเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ หลังจาก Harry Potter ทุกคนก็ตั้งคำถามว่าอะไรจะเป็นบิ๊กบุ๊กของนานมีต่อไป เราก็มองว่านี่แหละคือบิ๊กบุ๊กของเราในปีนี้ และเราก็ตั้งใจมาก ขายได้ไม่ได้ อย่างน้อยเราก็หวังว่า นวนิยายเรื่องนี้จะช่วยจุดประกายให้คน โดยเฉพาะผู้ใหญ่ ได้เริ่มคิด และได้ตระหนักถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา

คิมคิดว่าหลายๆ ปัญหาในบ้านเรากำลังต้องการสิ่งนี้พอดี อีกทั้งหลายๆ คนก็มองว่าสีสันของนวนิยายเรื่องนี้ตั้งใจสื่ออะไรถึงคนไทยหรือเปล่า (หัวเราะ) น่าจะเป็นความบังเอิญมากกว่าค่ะ สีสันหรือดีไซน์มาจากต้นแบบเลย ไม่ได้มีการดัดแปลง”

สำหรับคนที่ได้อ่านนวนิยายเรื่องนี้ สามารถตีความได้ในหลากหลายแง่มุม คิมกล่าวว่า นี่คือสิ่งที่ดี ที่เมื่อคนไทยได้อ่านนวนิยายร่วมสมัยเรื่องนี้ จะได้ช่วยกันแสดงความคิดเห็น หรือตีความเพื่อช่วยกันค้นหาทางออก

“คิมมองว่าหนังสือที่ดี ต้องทำให้คนอ่านสามารถตีความได้หลากหลายแง่มุม ต้องมีอะไรให้คนอ่านได้ตั้งคำถาม ถ้าคนอ่านไม่ตั้งคำถามเลย มัวแต่ยอมรับกับสารที่ได้รับ คนอ่านก็จะไม่เกิดปัญญา และไม่มีอะไรคืบหน้า คิมมองว่าผลงานศิลปะหรือหนังสือที่ดี ต้องทำให้คนกล้าแสดงออกในการตีความ ถกเถียง หรือหาทางออก เพื่อก่อให้เกิดปัญญาค่ะ”

“เก้าอี้ว่าง” ปริศนาใหม่ของเจ.เค.โรล์ลิ่ง

 

สำหรับ เจริญเกียรติ ธนสุขถาวร ผู้แปลนวนิยาย ได้บอกเล่ากับเราว่า นี่คือนวนิยายที่เต็มไปด้วยสิ่งที่ผู้เขียนอยากจะบอกเล่าออกมามากที่สุด

“เป็นเรื่องที่ เจ.เค. โรว์ลิง อยากจะเขียน เพราะมันเป็นสิ่งที่อยู่ในใจของเธอมาตลอด ในฐานะผู้แปล ก็ได้ทราบว่านวนิยายเรื่องนี้ได้สะท้อนชีวิตบางส่วนในตอนเด็กของเธอด้วย”

หลังจากแปลนวนิยายเรื่องนี้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ เจริญเกียรติได้ค้นพบว่า การผูกเรื่อง หรือการพูดถึงประเด็นปัญหาต่างๆ รวมทั้งปมปัญหาภายในจิตใจนั้น ผู้แต่งสามารถถ่ายทอดออกมาได้น่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง

“ในแง่ของจิตวิทยา ผู้อ่านจะได้เรียนรู้ว่า คนแต่ละคนทำไมเขาถึงคิดแบบนี้ ทำไมถึงมีพฤติกรรมแบบนั้น อย่างเด็กคนหนึ่งมีท่าทีแบบไม่เคารพผู้ใหญ่ ชอบข่มขู่เพื่อนนักเรียนด้วยกัน แต่เมื่อเราอ่านไปเรื่อยๆ เราจะค้นพบว่าท่าทีที่แข็งกร้าว แต่แท้จริงแล้วในจิตใจเขาอ่อนแอ เพราะอะไร เราก็จะได้รู้สาเหตุในตอนท้ายเรื่อง หรือคนที่น่าจะเป็นคนเข้มแข็ง น่าจะแสดงความกล้าหาญในช่วงวิกฤต กลับแสดงความอ่อนแอออกมา ส่วนเด็กผู้หญิงที่อ่อนแอ ค่อนข้างเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่กล้าพูด เป็นคนอ่อนแอ กลับมาแสดงความกล้าหาญในตอนท้ายเรื่อง”

หรือนี่คือนวนิยายที่นอกจากจะสะท้อนปัญหาหรือช่องว่างของสังคมที่ไม่ได้รับการถมเต็ม แต่ยังสะท้อนความเป็นมนุษย์ได้อย่างถึงแก่น

“ใช่ครับ นวนิยายเรื่องนี้ได้สะท้อนความเป็นมนุษย์ได้อย่างถึงแก่นจริงๆ อีกทั้งยังให้ข้อคิดแก่ผู้อ่านด้วยว่า เราควรมีความรับผิดชอบต่อตนเองอย่างไร ถึงจะทำให้เรามีความสุขและช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่เดือดร้อนกว่า เพื่อให้เขามีความสุขไปด้วย อย่างปัญหาสังคมที่มีอยู่ เราก็ควรตระหนักด้วยว่าจะทำอย่างไรดีหนอ ถึงจะไม่ให้มีช่องว่างเกิดขึ้นตามมาอีก”

ในฐานะผู้แปล เขากล่าวว่า นวนิยายเรื่องนี้จะทำให้คนไทยและคนทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญกับประเด็นต่างๆ ของสังคมและช่องว่างที่เกิดขึ้นได้มากขึ้น

“อย่าลืมว่าโลกใบนี้มันมีปัญหาเกิดขึ้นทุกวัน มีได้ตลอดเวลา และคงไม่ได้หมดไปจากสังคมได้ง่ายๆ แม้ว่าตอนจบของนวนิยายเรื่องนี้ ผู้เขียนจะไม่ได้พูดถึงทางออก แต่ก็มีความปรารถนาที่จะกระตุ้นให้ผู้อ่านได้ตระหนักถึงความรับผิดชอบ เดิมทีก่อนจะใช้ชื่อหนังสือว่า เก้าอี้ว่าง เจ.เค. โรว์ลิงใ ช้ชื่อว่า Responsibility หมายถึง ความรับผิดชอบในหน้าที่ ที่ผู้เขียนต้องการให้คนมีความรับผิดชอบ ไม่ทำตัวให้เป็นภาระของคนอื่น

เมื่อใดที่เรารับผิดชอบตนเองได้แล้ว ก็จะสามารถรับผิดชอบเพื่อนร่วมสังคมได้อีกด้วย ซึ่งนี่น่าจะเป็นหนทางที่ทำให้ชีวิตของคน และสังคมดีขึ้น น่าอยู่ขึ้น ซึ่งจุดประสงค์หลักของนวนิยายเรื่องนี้ ก็คือรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่นนั่นเองครับ”

 

ข่าวล่าสุด

จบศึก AGM การบินไทย! ผู้ถือหุ้นไฟเขียวบอร์ด 15 คน คลังคุมเกมเกือบทั้งกระดาน